จากเด็กที่ตามแม่ไปทำบุญตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้รู้สึกอินธรรมะ ไม่ชอบฟังพระเทศน์ สู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ตั้งใจถ่ายทอดคำสอนทางพุทธศาสนา และสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องธรรมะให้เข้าถึงง่ายในวัย 25 ปี
มนุษย์ต่างวัยชวนไปรู้จักกับ วนิดา บุญประเสริฐ เจ้าของเพจและช่อง TikTok “วนิ อินพุทธ” จุดเริ่มต้นของการทำเพจและช่อง TikTok ของเธอ มาจากความตั้งใจที่อยากสืบทอดพระศาสนา และทำให้ธรรมะเป็นเรื่องที่พูดคุยได้สำหรับคนทุกวัย เธอมองว่า สิ่งที่ได้ค้นพบจากการศึกษา ปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ทำแล้วเห็นผล เกิดผลลัพธ์จริง ๆ ก็เลยคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เป็นสิ่งที่ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยที่ควรจะได้รับรู้ เพราะสิ่งนี้เป็นหลักสัจจะความจริง ทุกคนควรจะได้รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพราะอะไร มีเหตุมาจากอะไร ทำไมจึงเกิดผลแบบนี้
“ช่วงแรกที่ทำเพจ มีอุปสรรคเยอะมาก กว่าจะคิด จะเขียน จะวาด ใช้เวลาเป็นเดือน กว่าจะได้แต่ละโพสต์ ก็เลยมองเรื่องของการทำคลิป ด้วยความที่เราไม่ได้มีทักษะในการพูด เรายังเรียบเรียงเนื้อหา เรียบเรียงประโยคไม่ถูก ก็พูดไปยาวมาก พูดเป็นชั่วโมง ๆ แล้วเอามาตัด ใช้เวลาหลายชั่วโมงมาก กว่าจะได้หนึ่งคลิป ไหนจะเรื่องอุปกรณ์อีก มันเกิดปัญหาเยอะมาก จนเราเริ่มท้อ แล้วรู้สึกว่าแค่จะทำคลิปหนึ่งคลิปทำไมมันยากขนาดนี้
แม้การทำคอนเทนต์เรื่องธรรมะไม่ได้ง่าย แต่สุดท้ายก็มุ่งมั่นสู้ต่อ
“พระอาจารย์เลยบอกให้ตั้งจิตอธิษฐานใหม่ว่าเราจะทำสิ่งนี้เพื่ออะไร เราก็ไปทำตาม ไปตั้งจิตใหม่แล้วลองทำคลิปอีกครั้ง ช่วงแรกผลตอบรับก็ยังไม่ดีเท่าไร แต่ก็ทำไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเลยคิดแค่อยากอัดคลิปลงไอจีเล่าเรื่องการปฏิบัติของเราให้เพื่อนดู แต่ไอจีมีข้อจำกัดเรื่องความยาว ก็เลยอัดลงติ๊กต็อกแทน ซึ่งเป็นการอัดแบบธรรมชาติ ไม่ได้คิดอะไรล่วงหน้า แล้วมันปังเฉยเลย พอมันปัง วนิก็เห็นแล้วว่า มันสามารถดำเนินไปได้ สามารถทำให้วัยรุ่นเข้ามาสนใจได้ แม้จะมีปัญหา หรือคนเข้ามาคอมเมนต์ต่อว่า แต่เราก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็ปฏิบัติไปด้วยเสมอ ช่วงแรกก็มีโกรธบ้าง แต่ตอนนี้เราไม่ได้โกรธแล้ว กลายเป็นเราเมตตาเขาแทน เพราะเรารู้ทันความคิด ความโกรธก็เลยไม่ตามมา
ก่อนจะพบกับธรรมะ วนิก็คือวัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตสุดโต่ง จนเหนื่อยกับการวิ่งตามหาความสุขอยู่ตลอดเวลา กระทั่งพบจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เกิดมาทำไม” เพราะสุดท้ายชีวิตทั้งชีวิตก็มีแต่ความทุกข์ คนเราเลือกหาแต่ความสุขเพื่อทำให้ทุกข์น้อยลง เธอจึงอธิษฐานขอให้ได้พบกับครูบาอาจารย์ที่สามารถชี้ทางสว่างให้เธอได้เข้าใจแก่นแท้ของธรรมะ และเมื่อนำคำสอนไปปฏิบัติ เธอก็เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและรู้สึกว่าผลของธรรมะนั้นเป็นสิ่งประเสริฐจนอยากให้ทุกคนได้รู้ ได้เห็น และมาพิสูจน์ไปด้วยกัน
“ธรรมะไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นความจริงที่อยู่บนหลักของเหตุและผล เราใช้ธรรมะกับทุกเรื่องในชีวิต ประจำวัน ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ทำงาน กิน นอน เข้าห้องน้ำ เต้น แม้แต่ร้องเพลงอยู่ก็ยังปฏิบัติธรรมได้เลย ปฏิบัติได้ทุกขณะ ทุกวินาที ทุกครั้งที่เราหายใจ ถ้าเรารู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ๆ เรารู้จักแก่น ก็คือ “อริยสัจ 4” พอเราจับแก่นได้ เราก็จะนำมาใช้ในชีวิตของเราได้
“อย่างเรื่องความสัมพันธ์ เมื่อก่อนเราเป็นคนที่งี่เง่ามาก ๆ แฟนของเราเลยไม่อยากบอกเรื่องบางอย่างกับเราทั้งหมด ถามว่าผิดมั้ย ก็ไม่ได้ผิด แต่เราไม่ชอบ แล้วเราก็จะเพ่งโทษเขา ว่าทำไมถึงไม่บอกเรา ทำไมถึงโกหกเรา แต่พอเรามาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำให้เรามองเห็นว่า การที่เราจะมาเจอกับเหตุตรงนี้ได้ หรือผลที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เราต้องเคยสร้างเหตุมาก่อน ซึ่งก็คือการที่เราไม่ได้ไว้ใจในตัวแฟนของเรา เราก็เลยสร้างความลำบากใจให้กับเขา เราไม่เชื่อมั่นในตัวเขา ต้องการที่จะบังคับควบคุมเขา ให้เขาเป็นแบบที่เราต้องการ เขาก็เลยเลือกที่จะไม่พูดกับเรา
“พอเราคิดได้แบบนี้ ก็เลยทำให้เราไม่ได้โกรธเขา เพราะเราเข้าใจว่าที่เขาทำแบบนี้ เพราะเขาก็มีภาพจำมีความกลัวว่า ถ้าเขาบอกเรา เราก็จะทะเลาะกับเขา เมื่อเราพิจารณาแล้วเห็นแบบนี้ เราก็เลยไปบอกกับเขาว่า “เรารู้แล้วว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ เราจะปรับปรุงในสิ่งที่เราเคยทำ ต่อไปเราจะทำให้ดีขึ้น” หลังจากนั้นเขาก็เลยเปลี่ยนตัวเองใหม่เหมือนกัน เพราะเราเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำกับเขา อันนี้คือผลลัพธ์ที่ได้ในเรื่องของความสัมพันธ์
“จุดที่ทำให้วนิเห็นภาพธรรมะกลายเป็นหัวข้อที่วัยรุ่นจะนำมาคุยกันได้ เกิดจากเพื่อนคนหนึ่งทักเข้ามาให้กำลังใจ แล้วก็คุยกันเรื่องธรรมะยาวมาก วนิเลยนัดเพื่อนคนนั้นมาเจอ พร้อมกับเพื่อนอีกคนที่ปฏิบัติธรรมอยู่กับวนิ ก็ไปนั่งคุยกันในคาเฟ่ คุยกันหลายชั่วโมง คุยเรื่องธรรมะอย่างเดียวเลย ไม่มีเรื่องอื่น แล้วเราก็รู้สึกว่ามันสนุก ธรรมะเป็นเรื่องที่พอเราเข้าใจจริง ๆ จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ เพราะมันคือประสบการณ์ของเรา เป็นสิ่งที่เรานำไปใช้ ไปต่อยอดได้ เหมือนเราเข้าไปเรียนศาสตร์บางศาสตร์ เหมือนไปเข้าคอร์สเรียนธุรกิจ หลังจากที่เราแยกย้ายกับเพื่อน เราก็เลยรู้สึกว่า โมเมนต์นี้ไม่ควรเกิดขึ้นแค่กับกลุ่มเรา วัยรุ่นอีกหลายคนก็ควรจะได้รับโมเมนต์นี้ ได้รู้ว่าธรรมะเป็นเรื่องวิเศษขนาดไหน และคุยสนุกขนาดไหน
“เราอยากขยายออกไปให้กว้างขึ้น ก็เลยจัดมีตติงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนพระอาจารย์เสนอว่าให้จัดเป็นค่าย พุทธยุวชนขึ้นมา โดยที่เราเป็นคนพาคนมาเข้าร่วม และช่วยวางแผนขั้นตอน กระบวนการ รูปแบบต่าง ๆ ในงาน รุ่นล่าสุดที่มาก็น้ำตาแตกกันทั้งวง อยากให้ลองมาสัมผัสดู เราได้ทั้งความรู้ด้วย ความสนุกด้วย ได้กัลยาณมิตรด้วย เราได้ครบทุกรส ทุกอย่างในค่ายพุทธยุวชน”
หลังจากผ่านการพิสูจน์จนเห็นผลชัดเจนด้วยตัวเอง ผ่านการเรียนรู้ และปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า หญิงสาวผู้มองคำสอนทางศาสนา เป็นมากกว่าการทำตามความเชื่อ หรือพิธีกรรมที่ถูกส่งต่อ ได้ย้ำกับเราว่า “สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือ หลักสัจจะความจริงที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาไหน หรือไม่นับถือศาสนา เราอยากให้ลองมาพิสูจน์ ศึกษา แล้วนำมาพิจารณาดูว่ามันสมเหตุสมผลจริงมั้ย อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าจะดูแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ ค่อยนำมาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วเห็นผล ค่อยศรัทธาก็ได้”