“การเป็นจิตอาสาเป็นหนทางง่าย ๆ ในการเติมสุขให้ใจ และช่วยสร้างสุขให้สังคม ถ้าเราทำแบบนี้กันมากขึ้น สังคมไทยก็จะน่าอยู่ คนที่เขาทุกข์ก็จะค่อย ๆ ได้รับความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ เหมือนน้ำเย็นที่เข้ามาช่วยบำรุงใจให้สดชื่น เบิกบานได้”
มนุษย์ต่างวัยนำส่วนหนึ่งของธรรมบรรยายที่สร้างความสุขให้กับชีวิตจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ ในหัวข้อ “เติมสุขให้ใจ สร้างสุขให้สังคมได้ทุกวัน” จากงาน Volunteer Family ที่จัดขึ้น ณ ห้องประชุมโยธี ชั้น 11 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา
“ทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตื่นเช้ามาเห็นแต่สิ่งที่ไม่จรรโลงใจหรือสิ่งแย่ ๆ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีสิ่งดี ๆ สิ่งเหล่านั้นมันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแต่เขามองไม่เห็น
“มีผู้ชาย 2 คน ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน คนหนึ่งจิตใจขุ่นมัว อีกคนหนึ่งจิตใจเบิกบานแจ่มใส เมื่อถามว่าพวกเขามองเห็นอะไร คนแรกบอกว่าเขาเห็นถนนที่เฉอะแฉะ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีขยะอยู่เยอะแยะไปหมด แต่พอไปถามอีกคนเขากลับบอกว่าเห็นท้องฟ้าที่สวยงาม แสงสีทองกำลังฉาบทาอยู่บนนั้น สองคนนี้มองไปทางเดียวกันแต่เขาเห็นไม่เหมือนกัน ซึ่งการที่เขาเห็นไม่เหมือนกันนั้นก็มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก ถามว่าเราอยากจะเป็นเหมือนคนที่ 1 หรือคนที่ 2
“ที่จริงการเติมสุขให้ใจมันทำได้ไม่ยาก เริ่มจากการมองเห็นสิ่งที่สวยงาม จรรโลงใจที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เวลาตื่นเช้ามามีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เติมสุขให้ใจเราได้ ทั้งดอกไม้ที่งดงาม ผู้คนที่ยิ้มแย้ม หรือสิ่งดี ๆ ที่อยู่กับเราอยู่แล้ว อย่างการที่เรายังหายใจได้อย่างปกติ หรือการที่เรายังมีสุขภาพดี กินอิ่ม นอนอุ่น ถ้าเราเริ่มเปิดใจรับรู้และชื่นชมสิ่งเหล่านี้ เราก็จะมีความสุขได้ไม่ยาก แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเรานึกถึงแต่ปัญหา ภาระ หรือการสูญเสียที่ผ่านไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่สวยงามได้เลย เพราะเรายังเก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่ผ่านไปแล้วมาคิด หรือเก็บสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นมากังวล มันก็กลายเป็นสิ่งที่บังตา บังใจของเราไม่ให้เห็นสิ่งสวยงาม
“ถึงแม้ว่าชายคนที่สองจะมองเห็นท้องฟ้าที่สวยงามก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมองไม่เห็นถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เฉอะแฉะ มีขยะ เขาเห็นเพียงแต่เขาไม่พะวงกับมัน เขาแค่คิดว่าถ้าเสร็จธุระแล้วเขาก็จะมาเก็บขยะ มาถมถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อให้ราบเรียบ ในขณะที่ทำเขาก็ไม่ได้คิดว่าเมื่อไรจะเสร็จ เพราะเขาทำแล้วก็เกิดความภาคภูมิใจ และมองต่อไปอีกว่าถนนที่ราบเรียบและสะอาดนี้ก็ทำให้ผู้คนใช้ถนนเส้นนั้นได้อย่างราบรื่นและมีความสุข เขาถือว่าได้มีส่วนในการทำบุญ แม้จะไม่ได้ค่าจ้างหรือไม่มีคนเห็น แต่เขาก็มีความสุขและภูมิใจที่ได้ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม
“เวลาพูดถึงความสุขหลายคนมักจะนึกถึงการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ชอป ดูหนัง ฟังเพลง ถ้ามีเวลาว่าง อยากหาความสุขก็เปิดมือถือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นโซเชียล ฯลฯ วันหยุดถ้าอยากหาความสุขก็ไปห้างสรรพสินค้า ไปกินอาหารอร่อย ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความสุขจากการเสพ เข้าถึงได้ไว แต่ก็เจือจางได้เร็ว แต่จริง ๆ แล้วมันมีความสุขที่ดีกว่านั้น นั้นก็คือความสุขจากการทำ
“บางคนมีความสุขจากการศึกษาค้นคว้า การได้เรียนรู้ บางคนมีความสุขจากการรดน้ำต้นไม้ ปลูกป่า และบางคนมีความสุขจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่น หรือที่สมัยนี้เราเรียกว่า ‘จิตอาสา’ ซึ่งเป็นการให้ความสุขทั้งทางกายและทางใจ”
เมื่อใจเป็นสุข กายที่ทุกข์ก็ได้บรรเทา
“ผู้หญิงคนหนึ่งติดเชื้อ HIV สามีเธอก็ติดเชื้อด้วย แต่เธอก็ไม่ย่อท้อและดูแลสามีจนกระทั่งเขาจากไป หลังจากนั้นเธอก็ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ HIV และไปเป็นจิตอาสาเพื่อให้ความรู้กับวัยรุ่นให้มีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย นอกจากนี้เธอยังทำงานอาสาอีกหลายอย่างเพื่อพัฒนาชุมชนมาตลอด 17 ปี
“วันหนึ่งมีรุ่นน้องรู้ว่าเธอติดเชื้อ HIV ก็ถามเธอว่าทำงานหนักแบบนี้ไม่กลัวป่วยเหรอ เธอกลับตอบว่าถ้าเธอคิดถึงแต่ตัวเองเธอคงตายไปนานแล้ว เชื้อ HIV ทำอะไรเธอได้น้อยมาก เพราะความสุขจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นทำให้สุขภาพของเธอไม่ได้แย่ลง แล้วที่สุขภาพกายเธอดีได้ เพราะเธอมีความสุขใจที่ได้ทำงาน
“มีผู้ป่วยมะเร็งคนหนึ่งเคยรักษาจนหายไปแล้ว แต่จู่ ๆ วันหนึ่งมะเร็งก็กลับมาอีก หมอก็บอกว่าหมดทางช่วย เพราะมันดื้อยาไปแล้ว แทนที่เธอจะท้อแล้วนั่งรอวันตาย เธอก็คิดว่าอยากจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ เธอเลยไปเป็นจิตอาสาดูแลเด็กที่ป่วยตามโรงพยาบาล ทำให้ใจมีความสุข พอกลับไปตรวจสุขภาพอีกครั้งก็พบว่าเชื้อมะเร็งมันหายไปแล้ว และไม่กลับมาอีกจนถึงทุกวันนี้ เธอก็เลยมาคิดว่าอะไรที่ทำให้มะเร็งหายไป เธอพบว่าบางทีอาจจะเป็นการเป็นจิตอาสา เธอบอกว่าจิตอาสาคือคีโมขนานดี เพราะเมื่อเธอมีความสุขก็มีผลต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ก็ต่อสู้กับโรคมะเร็งได้
“มีจิตอาสาคนหนึ่งเข้าไปช่วยดูแลเด็กอ่อนที่บ้านปากเกร็ด เธอเป็นไมเกรน ต้องกินยาทุกวัน แต่พอไปเป็นจิตอาสาได้ 3 สัปดาห์ ก็ลืมกินยาไปเลย เธอก็แปลกใจว่าทำไมเธอลืมกินยา แล้วก็พบว่าเพราะเธอไม่ปวดหัวแล้ว และที่ไม่ปวดหัวก็คงเพราะว่ามีความสุข”
“ความสุข” ยิ่งให้ ยิ่งได้
“หลายคนที่มีความทุกข์ใจก็ผ่านวิกฤตชีวิตไปได้เพราะการเป็นจิตอาสา อย่างคุณป้าคนหนึ่งเสียสามีและลูกไปในระยะเวลาใกล้ ๆ กัน เธอเสียใจและไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม คิดจะจากไปอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งเธอเจอแมวตัวหนึ่งผอมโซมากวิ่งตามเธอกลับบ้าน ตอนแรกเธอก็ไม่สนใจ เพราะยังจมอยู่กับความเศร้า แต่แมวก็ตามเธอไปจนถึงบ้าน ตอนนั้นอากาศหนาว เธอจึงอุ้มแมวเข้าไปในบ้าน แล้วเทนมให้มันกิน พอแมวมีความสุขมันก็มาคลอเคลียเลียแข้งเลียขา จนเธออดยิ้มไม่ได้ เธอก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่านี่เธอไม่ได้ยิ้มมานานแค่ไหนแล้ว แต่แมวตัวนี้กลับทำให้เธอยิ้มได้ เธอก็เลยนึกได้ว่า เพราะเธอทำให้แมวมีความสุข เธอก็เลยมีความสุขไปด้วย
“หลังจากนั้นเธอก็เลยตัดสินใจไปเยี่ยมเพื่อนบ้านที่ป่วยอยู่ ทำขนมไปให้ พอเพื่อนบ้านเห็นเธอมาเยี่ยมก็มีความสุข แล้วเธอเองก็มีความสุขเช่นกัน ตั้งแต่นั้นมาเธอจะไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนอยู่ตลอด จนเธอเริ่มมีความสุขมากขึ้น กลับมายิ้มได้ นอนหลับได้ เพราะการช่วยเหลือคนอื่น
“การช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อนมันช่วยทำให้เราลืมความทุกข์ ช่วยปลูกเมตตา กรุณาในใจและดึงดูดความสุขเข้ามา ความสุขที่เกิดขึ้นจะช่วยขับไล่ความทุกข์ ความเสียใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจออกไปได้ เหมือนน้ำเสียที่เราไม่ต้องไปวิดออก เพียงแค่เราปล่อยน้ำดีเข้าไป มันก็จะไล่น้ำเสียไปเอง”
เมื่อใจเรา “เปิดกว้าง” ทุกข์ก็ค่อย ๆ จางหายไป
“แอกเนส ชาน นักร้องคนหนึ่งที่ดังมากในสมัยก่อน ตอนเด็ก ๆ เธอมีความทุกข์มาก เพราะแม่ของเธอรักพี่ ๆ มากกว่า เพราะพี่ ๆ ของเธอทั้งสวยและเรียนดี แต่เธอคิดว่าเธอไม่สวย เรียนก็ไม่เก่ง ก็เลยน้อยเนื้อต่ำใจและคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า วันหนึ่งครูพาเธอไปเยี่ยมผู้อพยพจากเวียดนาม เธอได้ไปเห็นผู้ลี้ภัยที่ลำบากมาก ไม่มีกิน ไม่มีที่อยู่ ทำให้เธอคิดได้ว่าความทุกข์ของเธอนั้นเป็นเรื่องเล็กมากและอยากช่วยเหลือคนอื่น เธอก็เลยไปร้องเพลง เล่นกีตาร์ เพื่อรับบริจาคเงินไปช่วยผู้ลี้ภัยในตอนพักเที่ยง ตอนแรกก็ทำแค่ในโรงเรียนตัวเอง แต่หลัง ๆ มาก็ขยายไปทำที่โรงเรียนอื่นด้วย
“เธอมีความสุขกับการร้องเพลงและการได้ช่วยเหลือคนอื่น วันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่สดใสร่าเริงและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เธอแปลกใจว่าตัวเองเปลี่ยนไปได้อย่างไร นั่นเพราะการช่วยเหลือคนอื่นทำให้เธอลืมความทุกข์ และภูมิใจว่าเธอได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า
“นักธุรกิจคนหนึ่งเคยเป็นคนที่ใจร้อน มักจะมองเรื่องต่าง ๆ จากมุมของตัวเอง ทำให้มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานบ่อย ๆ แต่เมื่อไปเป็นจิตอาสาก็ใจเย็นขึ้น ใส่ใจคนอื่นมากขึ้น การเป็นจิตอาสาทำให้ใจของเราเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับประสบการณ์ที่จิตอาสาที่มาทำงานอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาลราชวิถีและสถาบันประสาทวิทยา หลายคนได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว”
น้ำใจเล็ก ๆ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตใครบางคน
“มีวัยรุ่นคนหนึ่งมีชีวิตที่แย่มาก พ่อแม่ติดยา ถูกพ่อแม่ทำร้าย ไปโรงเรียนก็ถูกรังแก จนวันหนึ่งเขาทำผิดและต้องไปเข้าสถานพินิจเด็กและเยาวชน เขากลายเป็นคนที่ต่อต้านสังคม และต้องการที่จะแก้แค้น วันหนึ่งเขากำลังเตรียมตัวจะไปทำร้ายคนอื่น แต่ระหว่างทางเขาเดินผ่านเพื่อนบ้าน คุณลุงคนหนึ่งก็เรียกเขาให้ไปกินข้าวด้วย ทำให้เขาประหลาดใจว่ามีคนที่เห็นคุณค่าและมีน้ำใจกับเขาด้วยเหรอ
“พอได้ไปกินข้าวและได้พูดคุยกับคุณลุง เขาก็เปลี่ยนความคิดที่จะไปทำร้ายคนอื่น และต่อมาเขาก็กลายเป็นจิตอาสาช่วยเหลือวัยรุ่นที่ต่อต้านสังคมเช่นเดียวกับที่เขาเคยเป็นมาก่อน จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่าเพียงแค่น้ำใจของคนคนหนึ่งก็สามารถที่จะเปลี่ยนจิตใจของคนอีกคนได้ ทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง และช่วยชีวิตคนได้อีกหลายคน”
จิตอาสาเริ่มได้ จากการให้ในสิ่งที่มีอยู่
“เราไม่รู้หรอกว่าน้ำใจที่เรามีมันจะช่วยใครได้บ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือมันช่วยให้เรามีความสุข เป็นการเติมสุขให้ใจและสร้างสุขให้กับสังคมทีละเล็กทีละน้อย เราควรจะมีวัฒนธรรมจิตอาสาแบบนี้กันมาก ๆ ทำกันเยอะ ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นจิตอาสาก็ได้ เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เพื่อสร้างสุขให้สังคมและเติมสุขให้ใจ
“บางคนทำร้านอาหาร เขาก็เปิดให้คนที่ขาดแคลน คนที่ไม่มีเงินได้มากินฟรี อย่างโครงการปันกันอิ่มก็มีร้านอาหารที่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อยู่หลายแห่ง หรือเอกเขนกโฮสเทลที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลศิริราชก็ทำโครงการปันสุขให้ผู้ที่ไม่มีทุนทรัพย์ไปพักได้ฟรี ซึ่งทำให้คนที่ได้ไปพักปลาบปลื้มมาก เพราะเขาป่วย ไม่มีเงิน ไม่รู้จะไปพักที่ไหน แต่มีความจำเป็นต้องอยู่ใกล้โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา หรือบางคนก็มาเฝ้าญาติที่ป่วย พอได้เจอเอกเขนกโฮสเทล เขาก็ประทับใจมาก มันเป็นการเติมพลังชีวิตให้เขาเกิดศรัทธาในมนุษย์ ศรัทธาในสังคม แล้วอยากจะทำความดีให้ผู้อื่นต่อไป
“การให้ทานด้วยการสละเงินก็เป็นการเติมสุขให้ใจอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ความตระหนี่นั้นลดน้อยลง หรือการไปช่วยปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ก็เป็นการช่วยสร้างสุขให้สังคมและสร้างบุญในจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยากเติมสุขให้ใจ อย่านึกถึงแค่ความสุขจากการเสพ แต่อยากให้ลองนึกถึงความสุขที่เกิดจากการทำด้วย จะเป็นความสุขจากการทำอะไรก็ได้ เช่น อ่านหนังสือ ทำครัว ปลูกต้นไม้ ทำงานจิตอาสา แบ่งปันความรู้กับคนอื่น ฯลฯ
“เริ่มจากการรู้จักมองเห็นสิ่งดี ๆ ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่อยู่รอบตัว จนสามารถมองเห็นด้านดีของทุกสิ่งที่ผ่านมาเข้าในชีวิตได้ ถ้าเราเติมสุขที่ใจได้อย่างถูกต้อง จิตใจเราก็จะสดชื่น แจ่มใส เบิกบานเหมือนเด็ก เพราะเด็ก ๆ สามารถเห็น ซึมซับ และรับความสดชื่นเบิกบานได้ง่าย ขณะที่ผู้ใหญ่มักจะเปิดใจรับความทุกข์ หรือเติมทุกข์ให้ใจมากกว่า”
ติดตามรายละเอียดกิจกรรมจิตอาสาเพิ่มเติมได้ที่ พุทธิกา ฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา