การมี ‘ความฝัน’ หรือ ‘เป้าหมาย’ สำคัญกับชีวิตคนเราหรือไม่?
มนุษย์ต่างวัยชวนไปหาคำตอบ พร้อม ๆ กับร่วมสำรวจความฝันหรือเป้าหมายที่เราอาจทำหล่นหายไประหว่างทางของการใช้ชีวิต ผ่านภาพยนตร์อินเดียแนวดราม่าคอมเมดี้ ซึ้ง และอบอุ่นที่ชื่อว่า ‘Vijay 69’
หนังบอกเล่าเรื่องราวของ วีเจย์ แมทธิว ชายวัย 69 ปี ที่ใช้ชีวิตหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีเป้าหมายอะไรตั้งแต่ที่เขาสูญเสียภรรยาไปด้วยโรคมะเร็ง จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาอยากลุกขึ้นมาตั้งเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตอีกครั้ง ในวัย 69 ปี ที่ใคร ๆ ต่างบอกว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว
วีเจย์เป็นอดีตนักว่ายน้ำอนาคตไกลที่ยอมทิ้งชีวิตและความฝันของตัวเองเพื่อมาดูแลภรรยาที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งจนกระทั่งเธอจากไป การกลับมาดูแลภรรยาทำให้วีเจย์พลาดโอกาสในการก้าวขึ้นสู่บันไดความสำเร็จในฐานะนักกีฬาว่ายน้ำ ทำให้ชีวิตที่เหลือเขาจึงเป็นได้แค่โค้ชสอนว่ายน้ำทั่ว ๆ ไป เมื่อเข้าสู่วัยชรา วีเจย์ก็เป็นคนที่ไร้ซึ่งเป้าหมายและความฝัน ขาดแรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาหายตัวไปจากบ้าน ครอบครัวและเพื่อน ๆ ต่างเข้าใจผิดและสันนิษฐานกันว่าเขากระโดดน้ำฆ่าตัวตายไปแล้ว ครอบครัวและเพื่อน ๆ จึงจัดงานศพให้กับเขา เมื่อต้องเริ่มต้นเขียนคำไว้อาลัยทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความสำเร็จในชีวิตของวีเจย์ที่พวกเขาควรจะกล่าวถึง ในขณะที่ตัววีเจย์เองก็แทบจะนึกไม่ออกว่า ชายแก่ธรรมดา ๆ อย่างเขามีความสำเร็จอะไรเหลือทิ้งไว้ให้คนได้จดจำบ้าง
กระทั่งวันหนึ่งเขาตัดสินใจว่าก่อนจะจากโลกนี้ไป เขาน่าจะทำบางสิ่งบางอย่างให้ประสบความสำเร็จสักครั้ง เพื่อทำให้ชีวิตที่ว่างเปล่ากลับมามีคุณค่าและควรค่าแกการจดจำ สิ่งที่ว่านั้นก็คือการลงแข่งไตรกีฬาในฐานะของคนอินเดียที่มีอายุมากที่สุดซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจของเขาต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากทั้งเพื่อนและครอบครัวที่ต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วย แต่เขาก็ยืนยันในการตัดสินใจของตัวเอง บนเส้นทางการฝึกซ้อมวีเจย์ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งการการซ้อมที่โหดหิน ความเหนื่อยยาก เสียงคัดค้านที่ต่างก็พูดตรงกันว่า “มันสายไปเสียแล้ว” แต่ที่สุดวีเจย์ก็เอาชนะสิ่งต่าง ๆ มาได้ รางวัลที่ได้รับคงไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็นคนอินเดียที่มีอายุมากที่สุดที่สามารถลงแข่งขันไตรกีฬาได้ หากแต่คือความภาคภูมิใจ มิตรภาพที่แท้จริงและการค้นพบความหมายของชีวิต และนี่คือ 4 ข้อที่หนังเรื่องนี้มอบให้กับเรา
1. ชีวิตนั้นแสนสั้น เราอยากถูกจดจำอย่างไร ในวันที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว?
ชีวิตที่เรากำลังใช้เปรียบได้กับการมีนาฬิกานับถอยหลังอยู่ตลอด การที่ชีวิตของวีเจย์ได้เฉียดเข้าใกล้ความตาย ถึงแม้มันจะเกิดจากความเข้าใจผิด แต่เขาก็ได้เห็นโลงศพที่มีชื่อตัวเองติดอยู่ ได้เห็นคำไว้อาลัยที่เพื่อนเขียนให้ ซึ่งมันไม่ได้มีความสำเร็จอะไรที่น่าภูมิใจอยู่เลย มันจึงทำให้เขาได้ย้อนกลับไปทบทวนถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองแล้วลองลิสต์มันออกมาซึ่งปรากฏว่ามันมีอยู่เพียงแค่ข้อเดียว
เขาจึงได้ย้อนนึกถึงคำพูดของภรรยา และได้กลับมาตระหนักว่าชีวิตของคนเรามันไม่ได้ยืนยาว เราจะต้องจากไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาจึงเริ่มต้นตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตอีกครั้งและลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามคงไม่อยากจากโลกนี้ไปโดยที่หน้ากระดาษบันทึกความสำเร็จนั้นว่างเปล่า และไม่มีเรื่องราวอะไรเหลือไว้ให้ใครได้จดจำ
2. เสียงที่ควรฟังมากที่สุด คือความต้องการของตัวเอง
ตอนที่วีเจย์ตัดสินใจจะลงแข่งขันไตรกีฬา เพื่อหวังว่าเขาจะสร้างสร้างสถิติหน้าใหม่ในฐานะนักไตรกีฬาชาวอินเดียที่อายุมากที่สุดที่สามารถพิชิตกีฬาชนิดนี้ได้เขานำความคิดนี้ไปบอกกับคนรอบตัวและเพื่อน ๆ ทุกคนต่างพากันหัวเราะ ขบขันไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำมันได้สำเร็จ แต่สำหรับวีเจย์เขาคิดว่า ชีวิตที่มีความหมายคือชีวิตที่ได้ทำตามความฝันให้สำเร็จสักครั้ง
แทนที่จะใส่ใจต่อเสียงคัดค้านและปัญหา เขาเลือกโฟกัสไปที่การซ้อม ไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่เกินไป ตรงกันข้ามวีเจย์เชื่อมั่นว่าในวัยนี้เขามีความพร้อมมากที่สุด เขาเชื่อว่าเขาทำได้มากกว่าแค่การนั่งเล่นรัมมี่ อ่านหนังสือพิมพ์ หรือใช้ชีวิตนั่งรอความตายไปวัน ๆ เขาจึงพยายามตามหาความหมายของการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง ซึ่งสิ่งสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาทำสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็ตอบตัวเองได้ว่าเขาได้ลงมือทำอย่างเต็มที่แล้ว
3. ในเส้นทางความฝันการมีเพื่อนที่คอยสนับสนุนกันทำให้เราไปได้ไกลกว่าเสมอ
แม้วีเจย์กับอาทิตยาซึ่งเป็นหลานชายของเพื่อนบ้านจะดูเหมือนเป็นคู่แข่งกันในสนามนี้ แต่ในชีวิตจริงพวกเขากลับเป็นเพื่อนต่างวัยที่มีหัวใจและเป้าหมายเดียวกัน ถึงวีเจย์จะอายุแตกต่างกับอาทิตยาแบบปู่กับหลาน แต่เขากลับเข้าใจเด็กหนุ่มวัย 18 ปี อย่างอาทิตยาดียิ่งกว่าใคร เพราะพวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า ความกดดัน และความกังวลที่อยู่ในใจไม่ต่างกันเลย ตลอดเส้นทางการพิชิตความฝัน ทั้งคู่จึงเป็นเพื่อนมากกว่าศัตรู ต่างคอยช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่เสมอ แม้ในเวลาที่อยู่ในสนามการแข่งขัน
4. ความรักคือพลังสำคัญของชีวิต
แม้การแข่งไตรกีฬาของวีเจย์จะเป็นการทำเพื่อความฝันของตัวเอง แต่ลึก ๆ แล้วเขาเชื่อว่า การพิชิตความฝันครั้งนี้จะเป็นการโอกาสให้เขาได้สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น วีเจย์ตั้งเป้าหมายว่าเมื่อเขาสามารถพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ เขาจะนำเงินรางวัลไปบริจาคให้กับศูนย์มะเร็งที่ดูแลภรรยาอันเป็นที่รักของเขาอย่างดีมาโดยตลอด
การที่วีเจย์ไม่ยอมแพ้และมีแรงพยายามครั้งแล้วครั้งเล่านั่นอาจเป็นเพราะเขาค้นพบว่าชีวิตที่มีความหมายคือชีวิตที่ได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น การแข่งขันครั้งนี้เขาไม่ได้ทำเพื่อความฝันของตัวเองเท่านั้นแต่ยังทำเพื่อคนที่เขารัก เพราะหลายครั้งการไปถึงเป้าหมายและความสำเร็จอาจจะไม่มีความหมายใด ๆ เลยไม่มีเพื่อนหรือคนที่เรารักร่วมชื่นชมกับความสำเร็จนั้น
ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองที่เราได้จากการดูหนังเรื่องนี้ สำหรับใครที่อยากติดตาม Vijay 69 สามารถรับชมได้แล้ววันนี้ทางช่องทางสตรีมมิง Netflix ไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้มุมมองที่ต่างออกไป ใครคิดเห็นอย่างไรมาร่วมคอมเมนต์กันได้เลยครับ
ขอบคุณภาพจาก
Instragram @netflix_in