“อย่าเรียกผมว่าลุงนะ ขอให้เรียกพี่ ได้ยินแล้วหัวใจมันกระชุ่มกระชวย อายุเป็นเพียงตัวเลข แต่ขนาดหัวใจคนเราเท่ากันหมด ไม่มีอายุหรอก”
มนุษย์ต่างวัยพาไปรู้จักกับ ‘พี่อุดม- อุดม มาศพงศ์’ นักวิ่งรุ่นปู่วัย 95 ปี ที่ลูก ๆ หลาน ๆ ในวงการนักวิ่งเรียกเขาว่า “พี่อุดม”
พี่อุดมเป็นข้าราชการเกษียณอายุที่พิชิตสนามมาราธอนมาแล้วกว่า 100 มาราธอน ทั้งที่ก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักวิ่ง เขาเคยเป็นคนสูบบุหรี่จัดและดื่มเหล้าหนักจนกระทั่งล้มป่วย
“สมัยหนุ่ม ๆ ผมดูแลร่างกายไม่ดีเลย ผมสูบบุหรี่จัดวันละ 1-2 ซอง ดื่มเหล้าหนักเพราะต้องอยู่ในวงสังคม คนรอบตัวแม้แต่ภรรยาก็ขอให้เลิกแต่ผมก็ไม่เคยฟัง จนวันหนึ่งผมอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“วินาทีนั้นผมรู้สึกกลัวมาก กลัวจะอายุไม่ยืน ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนาน ๆ หลังจากผมผ่าตัดลำไส้ ผมกลับมาถามตัวเองว่าถ้าเลิกเหล้าบุหรี่แล้วมันจะตายไหม ? มันก็ยังอยู่ได้ ผมเลยคิดว่าจะตัดใจจากอะไรได้นั้น ต้องมีบางอย่างมาแทนที่ และสิ่งนั้นคือการออกกำลังกาย
“หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เพื่อนคนไหนชวนผมไปดื่ม ไปสังสรรค์ที่ไหน ผมปฏิเสธหมด ยอมเดินกันไปคนละเส้นทาง เขาเดินไปกินเหล้า ส่วนผมเดินออกไปวิ่ง
“ผมเพิ่งเริ่มออกวิ่งอย่างจริงจังตอนอายุ 40 ปี ตอนนั้นงานแข่งวิ่งมาราธอนยังไม่เป็นที่นิยมในไทยมากนัก ผมเริ่มจากลงวิ่งมินิมาราธอนก่อน จากนั้นก็ขยับไปฮาล์ฟมาราธอนหลายครั้ง พอเราเห็นว่าตัวเองทำได้แล้วเลยอยากจะลองลงแข่งมาราธอนดูสักครั้ง
“งานแรกที่ลงแข่งคืองานกรุงเทพมาราธอน (Bangkok Marathon) ที่สะพานพระรามเก้า ตอนนั้นยังกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจสมัคร พอไปลงแข่งจริงมีจังหวะหนึ่งที่ผมวิ่งแล้วเหนื่อยมาก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายด้วยนะ แต่ตอนนั้นพยายามประคองสติ คอยบอกกับตัวเองว่า เราซ้อมมาตั้งเยอะ วิ่งมาเป็นร้อย ๆ กิโลเมตรแล้ว แค่ 42.195 กิโลเมตร ทำไมเราจะทำไม่ได้ สุดท้ายก็รอดมาได้จนจบ
“ตอนนั้นผมภูมิใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ด้วยซ้ำ หลังจากนั้น มีงานวิ่งมาราธอนที่ไหนผมก็ลงด้วยหมดทั้งในและต่างประเทศ บางปีลงแข่งไป 4-5 งาน ทำไปทำมาก็วิ่งจบไป 70-80 งานแล้วโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดก็จบมาราธอนครั้งที่ 100 ได้สำเร็จตอนอายุเกือบ 90 ปี หลังจากจบมาราธอนได้แล้ว ผมก็ไปวิ่งอัลตรา มาราธอน แล้วตามด้วยไตรกีฬาต่อด้วย
“ที่ผ่านมามีคนเตือนผมเหมือนกันว่าอย่ามาลงงานวิ่งขนาดนี้เลยเพราะเราอายุมากแล้ว แต่ผมไม่กลัว ถ้าจะต้องตายก็ขอให้ตายในสนามวิ่งนี้แหละ (ยิ้ม)
“การเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง มันยากตอนต้นเท่านั้น ขอแค่ก้าวออกไป ต่อไปมันจะง่ายเอง การวิ่งของผมก็เหมือนกัน มาราธอนจึงไม่ใช่เพื่อการล่ารางวัลหรือไปแข่งข้นกับใคร แต่มันเป็นการท้าทายตัวเอง ไม่กดดันเร่งรัดตัวเองเกินไป แค่เราวิ่งจบ ได้เป็น finisher เข้าเส้นชัยตามเวลาได้ แค่นี้เราก็ภูมิใจในตัวเองแล้ว
“สำหรับผมการวิ่งเหมือนกินยาอายุวัฒนะโดยไม่ต้องเปลืองค่าหมอ ผมอยากจะรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงแบบไม่เป็นภาระใคร และถ้าเป็นไปได้ ผมยังฝันอยากเห็นโลกของคนหนุ่มสาว ให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้” (หัวเราะ)