“น้ำ สมภพ” ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่เดินตามฝันสำเร็จได้เพราะความรักที่มีให้แม่และแฟชั่น

“เขาคุยกับนางแบบที่มารอเดินแบบด้วยกัน ว่าชุดพวกนี้ ผลงานลูกเขานะ ทำเองหมดเลย ตอนที่เห็นแม่ใส่ชุดออกมาเดินให้ในวันที่เราสอบจบ นั่นคือจุดที่เรารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว”

มนุษย์ต่างวัยคุยกับ “น้ำ” สมภพ พานิชานุรักษ์ วัย 22 ปี ว่าที่บัณฑิตสายแฟชั่นดีไซน์ ที่เริ่มหัดตัดเย็บเสื้อผ้าเพราะมีความฝันว่าอยากตัดชุดให้แม่และตัวเองใส่ จนกลายเป็นดีไซเนอร์ที่มีแบรนด์เป็นของตัวเองได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

น้ำเป็นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่กำลังจะจบการศึกษา สร้างผลงานคว้ารางวัลระดับประเทศมาแล้ว เขาเลือกที่จะทำธีสิสออกเเบบเสื้อผ้าผู้สูงวัยเป็นโปรเจกต์จบ เพราะอยากให้แม่ใส่ชุดที่ตัวเองเป็นคนตัดขึ้นเดินแบบบนเวทีในวันสำคัญของชีวิต รวมทั้งอยากส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้สูงวัยกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ มีความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ โดยไม่ปล่อยให้อายุมาเป็นข้อจำกัด

จากเด็กที่ชอบความสวยงามสู่เจ้าของผลงานออกแบบแฟชั่นระดับประเทศ

“เราเป็นเด็กชนบท โตมากับครอบครัวเกษตรกรใน จ.มหาสารคาม อาชีพหลักคือปลูกข้าว ปลูกมัน ปลูกอ้อย ช่วงที่ว่างจากการเกษตรก็จะทำปศุสัตว์ เราคลุกคลีกับงานพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวเราทำไร่ ทำนามาตั้งแต่บรรพบุรุษ เราเห็นมาตลอดว่ามันอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะไม่ได้ลำบาก แต่กว่าจะได้เงินก้อนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เราอยากให้ครอบครัวเราสบายขึ้น ให้เขาได้ใช้ชีวิตในอีกแง่มุมที่เขาไม่เคยได้สัมผัส 

“เรามีความฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ชอบอะไรสวย ๆ งาม ๆ ชอบงานศิลปะ วาดรูป ร้อยมาลัย เริ่มฝึกตัดเย็บเสื้อผ้ามาตั้งแต่อยู่ม.ต้น เรามีทุนทรัพย์ไม่เยอะมาก เลยเรียนรู้ด้วยตัวเอง ฝึกเองทุกอย่าง ซื้อหนังสือที่เขาสอนตัดเย็บมาลองฝึกทำตาม จักรเย็บผ้าก็ยังไม่มี เวลาเย็บก็เย็บมือทั้งหมด จำได้ว่าตอนนั้นบอกแม่ว่าอยากลองตัดเสื้อ แม่ก็นั่งรถเข้าไปซื้อผ้าในตัวเมืองให้เลย ตอนนั้นเรามีแค่ความฝัน แต่ยังไม่มีทักษะ เลยค่อย ๆ ฝึกด้วยตัวเองมาเรื่อย ๆ ดูรายการแข่งขันแฟชั่น แข่งขันแต่งหน้าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ 

“เราตัดสินใจเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย นอกจากจะเป็นการฝึกฝีมือตัวเอง ก็อยากช่วยแบ่งเบาภาระแม่ เรารู้สึกว่าตัวเองยังมีแรงมากกว่าแม่ งานที่เราทำก็ได้เงินง่ายกว่า เย็บรังดุมไม่กี่นาทีก็ได้เงินแล้ว แต่แม่เขาเหนื่อย ต้องออกไปทำไร่ ตากแดด กว่าจะได้เงินมา เราเลยตั้งใจว่าจะทำงาน เก็บเงินเรียนมหาวิทยาลัยเอง เงินก้อนแรกที่เราหาได้ ได้มาจากการเย็บกระเป๋าแล้วเพนต์ชื่อขายให้เพื่อน ๆ เริ่มจาก ทำใช้เองก่อน แล้วค่อยทำขาย พอฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ทำได้ดีขึ้น ก็รับตัดผ้าถุงให้อาจารย์ด้วย   

“ตอนอยู่ปีสองเราสมัครไปร่วมประกวดรายการเรียลลิตี้แข่งขันออกแบบแฟชั่นระดับประเทศ ตอนนั้นคนอื่นก็บอกเราว่า ถ้าเราได้ไปเห็นโลกจริง ๆ ไปสัมผัสวงการจริง ๆ เดี๋ยวเราก็ล้มเลิกความฝันไปเอง เราเคยโดนว่ามาตั้งแต่เด็ก ๆ คนอื่นมองว่าเราบ้า เราเพ้อฝัน อยู่ชนบทแบบนี้ ใครจะมาตัดเสื้อใส่ จะไปขายใคร แต่เรารู้จักตัวเองดีพอ เราไม่ค่อยฝังใจกับคำพูดคน ถ้าอันไหนที่มันดี เป็นแง่บวก เราก็จะเก็บไว้ แต่อันไหนที่มันเป็นลบ เราจะทิ้งไปเลย ไม่ให้ค่ากับถ้อยคำเหล่านั้น เพราะเรารู้ว่าอะไรมีคุณค่ากับชีวิตเราจริง ๆ สุดท้ายการแข่งขันครั้งนั้นผลงานเราติด Top 5 ของประเทศ ทำให้มีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น และมีงานให้เราพิสูจน์ความสามารถตัวเองเข้ามาเรื่อย ๆ 

“เรามีงานอยู่ตลอด เพราะเราไม่เลือกงาน ถ้าเราจัดสรรเวลาตามที่ลูกค้าต้องการใช้งานได้ เราก็รับหมด อย่างลูกค้าติดต่อมาให้ออกแบบผ้าคลุมช้างที่โชว์ตามสถานที่ท่องเที่ยวให้ เราก็รับ หรือลูกค้าชอบชุดเราแต่เขาอยากได้ชุดคู่กับลูก เราก็ทำให้ ทั้งที่ไม่เคยทำเสื้อผ้าเด็ก”

ภารกิจพาแม่เดินแฟชั่นครั้งแรกในชีวิตแลกกับการไปเที่ยว

“เราเคยได้ยินแม่พูดว่า ‘แม่ไปกรุงเทพไม่ได้หรอก ขนาดข้ามถนนหน้าหมู่บ้านรถยังจะชนเลย’ เราถามว่าแม่ไม่เคยไปกรุงเทพเลยเหรอ แม่ก็บอกว่าไม่เคย เราเลยเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจมาตลอดแล้วบอกกับตัวเองว่าวันหนึ่งจะพาแม่ไปกรุงเทพให้ได้ 

“เรารอเวลาที่เหมาะสมมาเรื่อย ๆ จนเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราไปเจอกิจกรรมประกวดแต่งกายของงานฝ้ายทอใจซึ่งจัดในคอนเซปต์ ‘แต่งตัวแม่ ตามใจลูก’ โดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย(องค์การมหาชน) หรือ sacit ตอนเห็นโครงการเราก็รีบสมัครไปเลย พอผลงานเราผ่านเข้ารอบ ได้ไปเดินแฟชั่นโชว์ชุดจริง ๆ เราก็โทรหาแม่บอกเขาว่าเราจะพาไปเที่ยวกรุงเทพ ไปล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา แต่แม่ต้องไปใส่ชุดแล้วเดินแบบให้เรานะ ตอนนั้นแม่ตื่นเต้นมาก เขาต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยทำ แต่งหน้า แต่งตัว ใส่ส้นสูง ตอนแรกแม่ก็กังวล กลัวจะทำออกมาได้ไม่ดี แต่เราก็บอกแม่ว่าให้ทำไปเลย เดี๋ยวเราคอยบอกเอง แม้จะเป็นการเดินแบบครั้งแรกแต่แม่ก็ทำได้ดี จนได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 กลับมา

“หลังเดินเสร็จเราก็พาแม่ไปเที่ยวกรุงเทพ ไปไหว้พระวัดพระแก้ว วัดอรุณ ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา แม่เขาก็บอกว่า ‘เออ ได้มาเห็นแล้วเนาะ’ เราถามว่าเขาอยากมาอยู่ไหม เขาบอกว่าไม่ ความสุขของเขาอยู่กับไร่กับนา อยู่กับธรรมชาติมากกว่า แม่เขาฝันว่าอยากทำโฮมสเตย์ของตัวเอง เราก็คิดว่าวันหนึ่งที่เรามั่นคงกว่านี้ เราคงทำตามฝันให้เขาได้”

ธีสิสที่เกิดจากความตั้งใจอยากทำชุดให้แม่ใส่ในวันเรียนจบ

“เราตั้งใจตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเรียนเลยว่า วันที่เรียนจบจะต้องให้แม่ได้ใส่ชุดที่เราทำให้ได้ ช่วงใกล้จบ ก็โทรหาแม่ บอกแม่ว่า ‘หนูทำธีสิสเรื่องเสื้อผ้าผู้สูงวัยนะ วันที่เรียนจบแม่มาใส่ชุดเดินแบบให้หนูนะ’ ตอนแรกแม่เขาก็บอกว่ามาไม่ได้ ไม่มีคนดูวัวให้ พออีกวันก็โทรกลับมาบอกว่าแม่เหมารถแล้วนะ เดี๋ยวจะไปหา 

“ปกติแม่เขาจะเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ชมลูกต่อหน้าคนอื่น แต่เวลาอยู่ด้วยกันสองคน แม่จะชมเราตลอด เขาบอกว่าเขาภูมิใจกับเรามาก วันที่แม่ไปเดินแบบให้ในวันสอบจบ เราเพิ่งได้ยินแม่ชมเราให้คนอื่นฟังเป็นครั้งแรก เขาคุยกับนางแบบที่มารอเดินแบบด้วยกัน ว่าชุดพวกนี้ ผลงานลูกเขานะ ทำเองหมดเลย ตอนที่เห็นแม่ใส่ชุดออกมาเดินให้ในวันที่เราสอบจบ นั่นคือจุดที่เรารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว 

“นอกจากการได้เห็นแม่ใส่ชุดที่เราตัด ซึ่งเป็นความตั้งใจแรกตั้งแต่วันที่เข้ามาเรียน การทำธีสิสก็ทำให้เราได้เห็นอินไซต์หลาย ๆ อย่างที่ผู้สูงอายุต้องการ เช่น เขายังสนุกกับการใช้ชีวิต ยังอยากแต่งตัว ไม่ชอบเสื้อผ้าที่ดูเชย แต่อยากได้ชุดที่ดูหลวม ๆ ใส่สบาย ใส่ง่าย ถอดง่าย เข้าห้องน้ำได้สะดวก เรื่องพวกนี้หลายคนอาจจะทำมาก่อนแล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่อย่างน้อยการได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานตรงนี้ ได้เห็นผู้สูงอายุมีรอยยิ้ม มีความสุข ใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจ เราก็รู้สึกดีแล้ว”

“แม่” = เบื้องหลังของทุกความสำเร็จ 

“วันนี้เรากำลังจะเรียนจบและทำงานเต็มตัวแล้ว เรามีความสุขมากที่ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ จากนี้ไปเราก็อยากให้แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนกัน ไม่อยากให้แม่ต้องคอยห่วง คอยกังวลไปกับเรา แค่คอยดูการเติบโตและเป็นกำลังใจให้ลูกแบบที่ทำมาตลอดก็พอ ถ้าไม่มีแม่ เราก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ไหม แม่เป็นทุกอย่างของชีวิตเรามาเสมอ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

“เราได้รับความรักจากแม่เต็มที่ ทำให้เราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง แม่เป็นคนเดียวที่เราสามารถคุยด้วยได้ทุกเรื่อง เป็นคนที่เราไว้ใจมากที่สุด และมั่นใจว่าไม่ว่าเราจะเจออะไรมาก็ตาม เขาจะไม่ซ้ำเติมและจะให้กำลังใจเราเสมอ แม่จะสอนตลอดว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามให้คิดถึงตัวเองและคนอื่นด้วย ถ้าอะไรที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนคนอื่นก็ทำเลย

“ถ้าเราเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมเราไม่มีเวลากลับบ้าน หรือเมื่อไรจะประสบความสำเร็จนะ จะได้กลับบ้าน ถ้าเรามีเวลาคิดแบบนั้น นั่นคือเรามีเวลา อยากให้ทุกคนเต็มที่กับเวลาที่มีอยู่ อย่าให้เวลาเป็นแค่เครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ คนที่รอเราอยู่เขาอาจจะไม่ได้ต้องการเห็นเราประสบความสำเร็จอะไรมากมาย เขาอาจจะแค่รอให้เรากลับไปหา ถ้ากลับไม่ได้ อย่างน้อยแค่โทรไปคุย ไปถามไถ่ก็ได้ หรือต่อให้เราไม่ประสบความสำเร็จ เราก็กลับบ้านได้เสมอ”

ติดตามและสนับสนุนผลงานได้ที่ NS nam_somphop

ขอบคุณภาพจาก NS nam_somphop 

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ