“Nostalgia” เมื่ออดีตยังมีกลิ่นอายน่าหลงใหลไม่เลือนหาย
“Nostalgia” คำคำนี้หลายคนอาจเห็นผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เทรนด์ฮิตในอดีตกำลังหวนกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง สำหรับคุณมีนคำนี้เป็นอีกหนึ่งคำที่คุ้นเคยและเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่ทำให้คนหันกลับมาสนใจประวัติศาสตร์
“Nostalgia” หมายถึง “ความคิดถึง” “ความระลึกถึง” หรือการ “โหยหา” อดีตที่ผ่านไปแล้ว อย่างที่ตอนนี้บรรดาเจนวายหลาย ๆ คนเริ่มมองกลับไปที่ดนตรี เพลง หนังยุค 1990 ด้วยความถวิลหา
แต่สำหรับสยาภา สิงห์ชู หรือ “แตงโม The Voice” ในวัย 22 อดีตที่เธอโหยหากลับย้อนไปไกลกว่ายุค Y2K มาก เพราะความหมกมุ่นของเธอย้อนไปถึงยุคสมัยของสุนทราภรณ์ ยุคเพลงลูกกรุง ผมดัดลอนฟูฟ่อง และเสื้อลายดอก
“เราเป็นคนชอบแต่งตัว ชอบดูละคร ชอบร้องเพลงลูกกรุง เพลงสุนทราภรณ์ ชอบดูละครจักษ์ ๆ วงศ์ ๆ หมกมุ่นกับการใส่เสื้อผ้ามือสอง เสื้อผ้าย้อนยุคลายดอกอะไรต่าง ๆ ที่คนรุ่นเดียวกันไม่นิยม” และความโหยหาในอดีตนี้เองที่ทำให้หญิงสาวในวัย 22 หันมาดัดผมลอนฟูฟ่องและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแต่ครั้ง “คุณแม่ยังสาว” เช่นนี้
แฟชั่นยุคเก่า “เก๋ไก๋” หรือ “เชย”
ด้านคุณแม่ของแตงโม เมื่อเห็นลูกสาวหันมาแต่งตัวแต่งหน้าเหมือนเมื่อครั้งตัวเองยังสาวก็ไม่พ้นรู้สึกกังวลขึ้นมาว่าลูกสาวจะถูกมองว่า “เชย” มั้ย “แก่” มั้ย โดยเฉพาะเมื่อแตงโมมาแอบถามแม่ “แม่ แม่ไปดัดผมที่ไหนมา” เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทรงผมดัดลอนฟูฟ่องนี้เองที่เป็นหนึ่งในลุคที่คนจดจำกันได้เยอะที่สุดจากยุคอดีค ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็ได้บอกแตงโมว่า
“เราบอกว่า ลูก ถ้าลูกทำแล้วมันจะแก่นะ คือเด็กรุ่นนี้เขาไม่ควรสนใจในสไตล์เดิม ๆ แบบโบราณแบบนี้ เราเลยบอกว่าอย่าทำเลยลูก ทำแล้วแก่นะ ทำออกมาแล้วจะเสียใจ” แต่ต้องขอบคุณเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแก้ทรงผมในปัจจุบัน ที่ทำให้สุดท้าย คุณแม่ก็ยอมปล่อยให้แตงโมไปตามล่าหาร้านที่จะนิรมิตรผมลอนโปเต้ฟูฟ่องให้เธอได้ในที่สุด
“ยุคนี้เราจะวันนี้หยิก พรุ่งนี้ตรงได้เลยอ่ะ งั้นก็ลองดูถ้าลูกชอบ” และด้วยทรงผมดัดลอนฟูฟ่องนี้เองที่แจ้งเกิดชื่อ “สยาโม” ในหมู่ผู้ใช้ TikTok โดยคลิปเปิดตัวทรงผมของเธอมีผู้เข้าชมกว่าสามล้านคนในหนึ่งวัน ทางฝั่งคุณแม่เอง เมื่อได้เห็นทรงผมใหม่ของลูกสาวแล้วก็พบว่า
“ดัดออกมาแล้วโมก็น่ารักไปอีกแบบนึง ด้วยที่ว่าเขาเด็ก เขาทำอะไรก็ดูดีไปหมด” จุดนี้เองที่ทำให้สยาโมได้แจ้งเกิดในฐานะหญิงสาวสาวยุคใหม่ที่หลงใหลแฟชั่นยุควินเทจอย่างเต็มตัว
กำเนิดสยาโมผู้ “โคฟ” เป็น “แม่”
เดิมทีแตงโมเริ่มต้นช่องของเธอด้วยเสื้อผ้ามือสองที่ไปตามล่าหามาด้วยตัวเอง แต่หลังสะสมเสื้อผ้ามือสองจากแหล่งอื่นมามากมาย วันหนึ่งแตงโมก็นึกขึ้นได้ว่าใกล้ตัวเธอ ก็มีใครคนหนึ่งที่มีกรุสมบัติรอเธอมาค้นหาอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร?
“เรารู้มาตลอดว่าแม่เป็นคนชอบแต่งตัวพอสมควร แต่ว่าอยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าแม่น่าจะมีชุดทำงาน เลยไปขอให้แม่ลองค้นกล่องลังที่เป็นเสื้อผ้าประมาณ 30 ปีที่แล้วของแม่ขึ้นมา”
ด้วยเหตุนี้ สองแม่ลูกจึงลุกขึ้นมาเปิดกรุ รื้อค้นเสื้อผ้าเก่าที่คุณแม่เก็บรักษาเอาไว้มากว่า 30 ปี และสิ่งที่สองแม่ลูกค้นพบก็ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่ออกแบบโดยคุณแม่เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถูกพับเก็บไว้กับเสื้อผ้าที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีเหล่านี้ของคุณแม่อีกด้วย
“จริง ๆ ตอนเห็นเสื้อผ้าของแม่ก็เฉย ๆ นะเพราะมันก็เป็นเสื้อผ้าเก่า ๆ เก็บอยู่ในถุงพลาสติก แต่มันเป็นเครื่องแบบสีน้ำเงินหลายตัวมากเพราะมันเป็นเสื้อผ้าบริษัท แล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่าที่มันเป็นสีเดียวกันเพราะว่าที่ทำงานเขาจะแจกผ้าให้ไปตัดยูนิฟอร์ม ปีหนึ่งคือสองชุดเพราะฉะนั้นใครจะไปออกแบบมายังไงก็ได้ แต่ต้องได้สองชุด แม่เลยออกแบบตามอัธยาศัย อยากได้แบบไหนก็ออกแบบเอาเอง”
“พอมารู้เรื่องราวว่าแม่ออกแบบเองนะ มันเลยพิเศษตรงนี้ ว่าไหน ขอดูเทสต์ของแม่หน่อยซิ เราดูแล้วก็เห็นว่ามันมีเลเยอร์เว้ย อย่างกระดุมแม่ก็ไปเดินหาซื้อเอง ออกแบบเองว่ากระดุมต้องเป็นแบบนี้ เสื้อก็ต้องเป็นสองชั้นไม่ใช่ชั้นเดียว แม่ก็เป็นคนมีเทสต์พอสมควร” และด้วยเหตุบังเอิญอย่างไรไม่ทราบได้ แตงโมในวัย 22 ปีวันนี้ก็ขนาดตัวเท่ากับคุณแม่ในวัย 19 ปีพอดีเป๊ะ เธอจึงนำเสื้อผ้าที่คุณแม่เก็บเข้ากรุไว้มาอวดลวดลายสีสันอีกครั้งในอีก 30 ปีต่อมาและพาคุณแม่ผู้เป็นวัยรุ่นเฟี้ยวฟ้าวในตอนนั้น มาพบกับตัวเธอในวันนี้
“พอเราได้เห็นเสื้อผ้าของแม่สมัยวัยรุ่น มันเหมือนเราได้ย้อนกลับไปเป็นเพื่อนเขาในวัยนั้น สมัยที่เขายังไม่มีภาระผูกพัน ไม่มีลูก ไม่มีสามี เหมือนเราได้กลับไปเห็นชีวิตวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีความสนุกสนาน มีความรัก อยากใส่เสื้อผ้าสวยๆ อยากมีหนุ่มมาจีบ เราได้เห็นว่าเขาก็คือวัยรุ่นที่เฟี้ยวฟ้าวคนหนึ่ง”
“สยาโม” ที่เป็นของ “แม่” และเป็นของ “โม”
แม้ว่าภาพของแตงโมผู้เป็นหญิงสาวในเสื้อผ้าแบบวินเทจอาจจะเป็นภาพที่ติดตาใครหลายคนมากกว่า แต่กระนั้นเจ้าตัวสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นี่ไม่ใช่คอนเทนต์ของเธอเพียงคนเดียวแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่มอบมนตร์เสน่ห์ให้เสื้อผ้าที่ข้ามกาลเวลามากว่าสามทศวรรษเหล่านี้ ไม่ใช่แค่แตงโมที่ชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่ แต่ยังเป็น “เรื่องราว” ของคุณแม่ในวัยสาวที่สร้างสรรค์เสื้อผ้าเหล่านี้ออกมา จนตกมาสู่มือของแตงโมในวันนี้ในที่สุด
“จริง ๆ คุณแม่เป็นเจ้าของช่องตัวจริงนะคะ ไม่ใช่โมนะ เพราะไม่งั้นเราก็ไม่สามารถบอกเล่าได้ เพราะคนที่เข้ามาดูคอนเทนต์เรา เป็นเพราะหนึ่งเขาสะดุดตากับเสื้อผ้า สองคือเขาชอบเรื่องราวของแม่ที่เรามาเล่าให้เขาฟังอีกทีว่าเสื้อผ้าตัวนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่เราเล่าให้คนดูของเรา มันคือเรื่องราวของคุณแม่”
สุดท้ายนี้ คุณมีนย้ำกับพวกเราว่า “ความทรงจำเป็นสิ่งมีค่า” ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ความทรงจำสามารถเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนบทสนทนาระหว่างคนสองวัยและนำคนสองวัยกลับมาใกล้ชิดกัน อย่างที่เราเห็นได้จากแตงโมกับคุณแม่ ที่เสื้อผ้าซึ่งมีอายุกว่า 3 ทศวรรษ พาวัยรุ่นสุดเฟี้ยวฟ้าวจากสองยุคกลับมาพบกันได้อีกครั้ง