“หนังสือที่ซื้อมาและอ่านจบเป็นเล่มแรก คือ ‘The ONE% สิ่งที่คนสำเร็จ 1% ของโลกทำ คน 99% อยากรู้’ หนังสือเล่มนี้บอกผมว่า ‘สิ่งที่ทำให้คน 1% ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นคือมายเซ็ต’ ผมเลยพยายามฝึกเรื่องมายเซ็ตและทำทุกอย่างให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน
“จุดเริ่มต้นการอ่านหนังสือของผมมาจากการเล่นติ๊กต๊อกไปเรื่อย ๆ แล้วบังเอิญเจอคลิปช่องหนึ่งบอกว่า ‘เลิกเล่นติ๊กต๊อก แล้วไปหาอะไรทำที่มีประโยชน์กว่านี้เถอะ’ ผมไม่ได้เลิกเล่นติ๊กต๊อกตามที่เขาบอกแต่ผมหาช่องที่มีประโยชน์ติดตามแทน
“วันหนึ่งผมเลื่อนไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งแล้วสนใจ ก็เลยชวนแม่ออกไปซื้อ แต่พอไปถึงร้านหนังสือ ผมไปเจอหนังสืออีกเล่มแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะเข้าใจยาก น่าเบื่อ แต่เนื้อหามันน่าจะเป็นประโยชน์ ก็เลยคิดว่าเลือกอ่านเล่มที่อ่านเข้าใจยาก ๆ ไปเลยดีกว่า จะได้ฝึกตัวเองไปเรื่อย ๆ เพราะผมคิดว่าถ้าเราเริ่มจาก เรื่องยาก ๆ แล้วเราทำมันได้ ต่อไปเราจะทำเรื่องอะไรก็ได้
“ผมเริ่มอ่านจากวันละ 10 นาที แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 20 นาที 30 นาที ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม ที่ ผมเลือกอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองเพราะผมอยากเปลี่ยนความคิดและนิสัยของตัวเอง ระหว่างที่อ่านไปเรื่อย ๆ ผมรู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างไปด้วย ผมเลยไปออกกำลังกาย ตอนแรกผมตื่นมาวิ่งได้พักหนึ่งแล้วก็หยุดไป แต่พอผมอ่านหนังสือจบ ผมรู้สึกว่าต้องกลับมาทำมันอีกครั้ง ทุกวันนี้ผมตื่นมาออกกำลังกายต่อเนื่องทุกเช้าได้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว
“ผมเคยฟังคลิปหนึ่งเขาบอกว่าถ้าคนเราทำอะไรก่อนนอนวันละ 10-20 นาที ตื่นเช้ามาเราก็จะเกิดพลังงานแบบนั้น ถ้าดีก็จะทำให้วันนั้นดีไปทั้งวัน แต่ถ้าแย่มันก็จะแย่ไปทั้งวันเหมือนกัน ผมเลยเลือกที่จะนั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืน แล้วพอตื่นมาตอนเช้า ผมก็รู้สึกโล่ง ตื่นตัว อยากไปทำโน่นทำนี่
“การอ่านหนังสือรวมทั้งฟังคลิปเกี่ยวกับการฝึกมายเซ็ตและพัฒนาตัวเอง ทำให้ผมได้หลักความคิดมาปรับใช้ ผมรู้สึกว่าผมมีวินัยมากขึ้น สามารถทำอะไรได้ต่อเนื่อง จากที่เมื่อก่อนผมไม่เคยทำอะไรพวกนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือนั่งสมาธิ แต่เดี๋ยวนี้ผมกลับทำได้ทุกวัน และรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว
“ถ้าวันไหนไม่ได้ไปวิ่ง ผมจะรู้สึกกังวลแปลก ๆ เหมือนมีอะไรขาดหายไป ไม่ว่าจะติดอะไรยังไง ผมก็จะพยายามหาเวลาไปวิ่งให้ได้ เพราะถ้าไม่ได้ไป ผมจะรู้สึกว่าใช้ชีวิตวันนั้นไม่สนุกเลย การออกกำลังกายทำให้ร่างกายผมตื่นตัวได้ง่าย ตื่นไปโรงเรียนง่ายขึ้น เวลาเรียนก็มีสมาธิมากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมยกของหนัก ๆ ไม่ค่อยได้ วิ่งได้ช้ากว่าเพื่อน ๆ ในห้อง แต่ตอนนี้ผมยกของได้ และวิ่งได้เร็วกว่าเพื่อนแล้ว
“ปีหน้าผมอยากมีวินัยในการออกกำลังกายมากขึ้น ปรับตารางเวลาใหม่ให้เหมาะกับชีวิต ถ้าผมฝึกซ้อมได้ดี ผมคิดว่าจะลงแข่งวิ่งที่โรงเรียน อีกอย่างผมอยากตั้งใจอ่านหนังสือให้มากกว่านี้ด้วย ผมอยากศึกษาเรื่องการวางแผนการเงิน เพราะช่วงแรก ๆ ที่ย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ ผมว่าผมใช้เงินฟุ่มเฟือยมาก ไม่มีเหลือเก็บเลย ผมเลยคิดว่าตัวเองควรปรับเรื่องเงินได้แล้ว”