“ขอให้ทุกคนที่ยังมีโอกาสได้อยู่กับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่เราผูกพันระลึกไว้เสมอว่า เวลาที่พ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ของเราป่วย ให้เราสนใจความรู้สึกที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างความผูกพันที่มีอยู่ในใจเรา อย่าไปสนใจเรื่องถ้อยคำมากนัก ผมเชื่อว่าภาษาที่มันไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำมีความหมายที่เป็นพลังมาก ให้ใช้ใจของเราในการสื่อสาร”
มนุษย์ต่างวัยนำส่วนหนึ่งของเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตในมิติของความเจ็บป่วยและการเป็นผู้ดูแล หัวข้อ “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรในมิติความเจ็บป่วย” ซึ่งถ่ายทอดโดยอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากกิจกรรมธรรมะบำบัดความป่วย…ได้จริงหรือ? ครั้งที่ 48 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67 ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ)
“แม่ผมอยู่ที่เกาะสมุยต้องการที่จะมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ก่อนจะมาตรวจแม่ต้องงดดื่มน้ำ แต่กว่าจะได้ตรวจก็ช่วงบ่าย แม่เลยมีอาการขาดน้ำมาก อยู่ ๆ แม่ก็ป่วยกะทันหัน เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง ต้องแอดมิดเข้าห้อง ICU ตอนแรกที่ผมได้ข่าวว่าแม่ป่วย ผมก็คิดว่าแม่ป่วยธรรมดา ไม่ได้อาการหนัก เพราะผมเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมแม่มาแล้วก็เป็นคนแนะนำให้แม่มาตรวจสุขภาพที่นี่ แต่พอไปเห็นแม่อยู่ในห้อง ICU มีเครื่องอะไรอยู่เต็มไปหมด มันช็อก ภาพที่เห็นตรงหน้ามันเจ็บปวด แม่ทุรนทุรายจนกระทั่งเจ้าหน้าที่พยาบาลต้องเอาผ้าขาว ๆ มาผูกอ้อมมือแม่ไว้ทั้ง 2 ข้างติดกับขอบเตียง เพราะแม่ดิ้นอยู่ตลอดเวลาแล้วกล้ามเนื้อแม่คงกระตุกจนเห็นรอยแผลถลอกนิด ๆ
“ผมรู้ว่าผมมีแม่ที่มีความรัก ความเข้าใจให้ แต่ผมเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูของน้าสาว เพราะฉะนั้นความทรงจำตอนที่ผมเคยอยู่กับแม่มันเลือนรางเต็มที รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ผู้ให้กำเนิดผม ที่ผมรัก ผมเคารพ ผมเข้าไปอยู่ในห้อง ICU กับแม่ เพราะเขาให้ญาติเข้าไปได้แค่คนเดียว ผมยืนอยู่ข้างเตียง ใช้มือทั้งสองข้างกำข้อมือแม่ไว้แล้วสาธยายบทสวดปรัชญาปารมิตา (พระสูตรสำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่าด้วยปัญญาอันเป็นหัวใจสู่พระนิพพาน) อยู่ตลอด ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันอธิบายเป็นเหตุเป็นผลไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนกับแม่มีความสงบมากขึ้น มือที่เคยกระตุกก็ค่อย ๆ อ่อนลง มีความรู้สึกวูบหนึ่งเกิดขึ้นในใจผมว่าอยากกอดแม่สักครั้ง แต่เงื่อนไขการอยู่ในห้อง ICU มันทำไม่ค่อยได้ ทั้งเตียง อุปกรณ์ เครื่องช่วยหายใจสารพัด ตอนนั้นผมรู้สึกว่าแม่กำลังจะจากผมไป ผมเลยขออนุญาตคุณหมอย้ายแม่ไปอยู่ห้องพิเศษ
“วันที่แม่ได้ไปอยู่ห้องพิเศษ แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว ตอนนั้นเพื่อนผมแวะมาหา ผมเลยออกไปคุยกับเพื่อนข้างนอกห้องเพื่อไม่ให้รบกวนแม่ ผมออกไปได้ไม่นาน น้องสะใภ้ก็ออกมาตามบอกว่าแม่อยากกอดผม ผมรู้สึกตื่นตะลึงว่าพลังความรู้สึกของลูกคนหนึ่งที่ยืนข้างเตียงแม่เป็นเวลานานไม่รู้กี่ชั่วโมงแล้วอยากจะกอดแม่มันมีความหมาย
“ผมเข้าไปในห้อง โน้มตัวลงไปกอดแม่ ซบไปที่อกของแม่ แล้วใช้ภาษาใจพูดกับแม่ ถ้าจะตีความเป็นภาษาพูดก็คงประมาณว่า ‘ผมเกิดมาจากอกแม่ ผมดื่มนมแล้วเติบโตขึ้นมาจากแม่ ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก แม่โอบกอดผมไว้ ประคับประคองผม เพื่อไม่ให้ผมประสบกับภัยอันตราย วันนี้ผมเติบโตมา แม่อ่อนล้าเต็มทีแล้ว ขอให้แม่อย่าห่วงอาลัยในสังขารร่างกายนี้ ขอให้แม่ได้รู้สึกว่าลูกของแม่จะทำกิจที่ดีที่สุดของความเป็นมนุษย์’ ผมกอดแม่อยู่นานแค่ไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีผมรู้สึกไม่สบายตัว เพราะอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน”
“ตอนที่ผมก้มลงไปกอดแม่ แม่เงียบไป แล้วพยายามใช้มือของแม่กดมาที่หลังผมเบา ๆ แม้จะมีมือวางอยู่ก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกถึงแรงที่แม่กดมา อาจเป็นเพราะแม่สูญเสียพลังหมดแล้ว และคงใช้พลังสุดท้ายในชีวิตเพื่อที่จะโอบกอดผม
“ผมมีแม่อีกคนคือน้าสาว น้ามีภาวะคล้าย ๆ แม่ หลังจากที่น้ามีภาวะเส้นเลือดตีบตันก็ทำให้สมองส่วนความจำเสื่อมสลายไปหมด น้าไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร เวลาผ่านไป 4 เดือน น้าเริ่มจำผมได้ แต่เรื่องอื่นเลอะเลือนหมดแล้ว
“วันที่ผมต้องออกจากสมุยเพื่อไปทำธุระที่อื่น ผมมากราบที่ตักน้าแล้วบอกว่าผมจะไปลงเรือแล้ว น้าถามผมเบา ๆ ว่า ‘มีไม้พายหรือยัง’ เพราะชีวิตของน้าสมัยเป็นสาวการจะไปลงเรือก็คือเรือพาย เวลาจะไปไหนต้องเอาไม้พายไปไปด้วย ความรู้สึกของน้าที่มีต่อผมในฐานะผู้ใหญ่ก็คือการถามเพื่อให้แน่ใจว่าผมมีไม้พายแล้วนะ อย่าลืมไม้พายนะ ความรู้สึกแบบนี้ที่ญาติคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าน้าเลอะเลือน แต่ผมคิดตรงข้าม ผมกอดน้าเเล้วร้องไห้ เพราะความจำอื่นเกี่ยวกับโลกใบนี้น้าลืมไปหมดสิ้นแล้ว แต่น้าไม่ลืมความรัก ความเป็นห่วงในใจที่มีต่อผม
“ทุกครั้งที่ผมกลับไปอยู่กับน้า น้าจะต้องถามว่าจะกินแกงปลาย่างกล้วยดิบไหม แกงปลาย่างกล้วยดิบอร่อยไหม ถามซ้ำ ๆ จนคนที่ไปเยี่ยมน้างงว่าน้าลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ผมกินตอนไหน มันไม่สำคัญว่าน้าจะลุกขึ้นมาทำจริงหรือไม่ แต่ใจของน้าลุกขึ้นมา เพราะน้ารู้สึกว่าน้ามีความรัก มีความปรารถนาที่จะทำอาหารที่ผมชอบให้ผมกิน ความหมายแบบนี้เป็นความหมายที่เป็นความรู้สึกที่มันชัดเจนอยู่ในใจ
“อยากให้ทุกคนจำไว้ว่าไม่ว่าพยาธิสภาพหรือเงื่อนไขภายนอกจะเป็นอย่างไร โปรดรักษาความหมายอันงดงามภายในใจของเรากับผู้มีพระคุณไว้ เพราะสิ่งนั้นคือการเยียวยา ทำให้เกิดสิ่งที่มีพลานุภาพมากในการหล่อเลี้ยงความหมายของการมีชีวิตอยู่ อย่างคนเป็นแม่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อโอบอุ้มคุ้มครองลูก คนเป็นลูกก็มีชีวิตอยู่เพื่อดูแลแม่ ถ้าเรามีความรู้สึกต่อกันเช่นนี้ สิ่งที่เป็นความหมายภายในใจก็จะปรากฏชัด แม่ก็จะได้รับการเยียวยา เราเองก็จะได้รับการโอบอุ้มคุ้มครองทำให้เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยน้อยลงกับหน้าที่การเป็นผู้ดูแลที่กำลังทำอยู่”
ขอบคุณภาพจาก : สวนโมกข์กรุงเทพ