มนุษย์ลูกบ้านไหนที่ต้องรับหน้าที่เป็น Full-time caregiver น่าจะเคยมีประสบการณ์ดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยจนลืมเวลากินข้าวของตัวเอง แม้จะป่วยก็ไม่อยากไปโรงพยาบาลเพราะไม่อยากทิ้งพ่อแม่ให้อยู่บ้าน จะกระเตงพาไปโรงพยาบาลด้วยกันก็กลัวสูงวัยเสี่ยงโควิด -19 ไปอีก ทำให้การดูแลตัวเองสำหรับคนที่เป็น Caregiver นั้นไม่ง่ายเลย หนึ่งในปัญหาที่หลายคนอาจมองข้ามไปและอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน คือการลืมที่จะใส่ใจสุขภาพของตัวเอง
มนุษย์ต่างวัยชวนคุยกับ ใบเตย – รพิดา อัชชะกิจ ลูกสาววัย 41 ปี ที่ปัจจุบันรับหน้าที่ดูแลคุณแม่ ซึ่งป่วยด้วยโรคหลอดเลือดในสมองหรือสโตรกมานานกว่า 7 ปี ถึงชีวิตของมนุษย์ลูกที่เป็น Full-time caregiver กับการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
‘ตารางเวลาของแม่’ เรื่องสำคัญที่ต้องมาเป็นอันดับแรก
“ถามว่าลูกหลานที่ต้องดูแลพ่อแม่ที่ป่วยละเลยในการดูแลตัวเองจริงไหม เตยบอกเลยว่าจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะดูแลตัวเอง บางครั้งให้พ่อแม่กินข้าวเสร็จหมดแล้ว มานั่งนึกดูว่าวันนี้ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ พอแม่มีตารางเวลาของเขา เราก็ต้องเอาตารางเวลาของแม่มาก่อน อีกอย่างคือเรารู้สึกว่าเราอยู่ในวัยทำงาน วัยที่น่าจะแข็งแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วแข็งแรงแค่ไหน ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองแล้วเราจะเอาแรงที่ไหนไปดูแลเขา
“ทีนี้ก็เลยต้องเปลี่ยนใหม่ จัดระบบใหม่หมด สิ่งที่เตยมองหา ไม่ใช่คนที่จะมาคอยดูแลเรา แต่เป็นอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีอะไรก็ได้ที่ช่วยเราได้ เพราะการมีสิ่งซัปพอร์ตเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เตยเลือกใช้เทคโนโลยีมากกว่าคน เพราะเทคโนโลยีจะบอกเราตรง ๆ ด้วยข้อมูลตามความเป็นจริง ไม่มีอคติ และไม่มาตำหนิติเตียนหรือสั่งสอนเรา ทำให้เรารู้สึกเชื่อ ไว้ใจได้ และรู้สึกปลอดภัย”
แม้ว่าใบเตยจะเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เรียกได้ว่ามีน้อยครั้งมากที่จะป่วย แต่เมื่อจำเป็นต้องเข้าไปโรงพยาบาลสักครั้งหนึ่ง กลับเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักมากสำหรับใบเตย เพราะการปล่อยให้คุณแม่ที่ป่วยติดเตียงอยู่บ้านคนเดียวนั้น ทำให้ลูกสาวคนนี้เป็นกังวลมากกว่าจะห่วงความเจ็บป่วยของตัวเองเสียอีก
“เวลาไปโรงพยาบาลจะกังวลมาก ระหว่างรอคิวก็ดูแม่ผ่านกล้องที่ติดไว้ กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรเพราะอยู่บ้านคนเดียว เคยมีช่วงหนึ่งที่หาพี่เลี้ยงมาช่วยดูแม่ แต่เรารู้เลยว่าแม่ต้องการเรามากกว่า ด้วยความที่แม่ติดเตยมาก แล้วเราก็เลือกที่จะตามใจเขาเพื่อให้เขาสบายใจที่สุด
“ในช่วงที่โควิด – 19 ยังไม่ระบาด เวลาจะไปโรงพยาบาลก็จะเอาแม่ไปด้วย ถือโอกาสพาแม่ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาใกล้โรงพยาบาล แต่ในช่วงโควิดระบาดหนัก ๆ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่อยากให้แม่ไปเสี่ยงในที่คนเยอะ ๆ รวมถึงตัวเราเองด้วย การพูดคุยปรึกษาคุณหมอทางออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งมันเหมาะกับวิถีชีวิตแบบเตย ไม่ใช่แค่คนที่ต้องดูแลพ่อแม่ แต่รวมถึงคนวัยทำงาน ซึ่งตอบโจทย์สำคัญคือไม่ต้องลางาน ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นวัน ก็สามารถคุยกับคุณหมอได้”
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ตัวช่วยสำหรับ Caregiver
“จากที่เตยลองใช้งานแอปพลิเคชัน MorOnline อย่างแรกที่ชอบที่สุดคือ ประหยัดเวลา ที่สำคัญคือไม่ต้องเดินทาง เตยไม่ต้องกังวลเลยเพราะตอนคุยกับหมอทางออนไลน์ แม่ก็อยู่ข้าง ๆ กับเราตรงนี้ เป็นสิ่งที่แฮปปี้และตอบโจทย์ในยุคโควิดและน้ำมันแพง อย่างเวลาเตยไปโรงพยาบาลครั้งหนึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 500 บาท เสียเวลาวนหาที่จอดรถ เสียค่าที่จอดรถอีก แต่นี่ประหยัดเวลาแถมไม่ต้องรอคิว คุณหมอที่เราได้คุยก็ยังเป็นอาจารย์หมอ ที่มีองค์ความรู้ มีประสบการณ์
“เคยเป็นไหม เวลาเราไปอยู่หน้าห้องตรวจที่โรงพยาบาลจริง ๆ บางครั้งเราลืมไปว่าจะถามอะไร แต่ถ้าเราอยู่ในสถานที่ของเรา อยู่ในพื้นที่ที่เคยมีปัญหานี้เกิดขึ้น เราจะนึกออกเพราะได้คุยในสิ่งแวดล้อมเดิม เราไม่ลืมคำถามที่อยากจะถามหมอ ตรงนี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่อาจจะนึกไม่ถึง ถ้าเตยไม่ได้ได้ลองใช้แอปพลิเคชันนี้”
‘ความวิตกกังวล’ จุดร่วมของมนุษย์ลูกสาย Caregiver
ในฐานะที่เป็น Caregiver ที่มีประสบการณ์ในการดูแลแม่มาหลายปี และได้ก่อตั้งเพจ “เข็นแม่เที่ยว” เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการดูแลแม่ที่เจ็บป่วย ทำให้ใบเตยมักจะมีผู้เข้ามาขอคำปรึกษาในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ และสิ่งที่เป็นจุดร่วมคล้าย ๆ กันของเหล่ามนุษย์ลูกสาย Caregiver ที่ใบเตยพบคืออาการพารานอยด์ หรือรู้สึกเป็นกังวลมากจนเกินไป
“คนที่รับหน้าที่ดูแลคนป่วยส่วนใหญ่จะเป็นสายขี้กังวล บางคนละเอียดมาก ถามทุกอย่างแม้กระทั่งใช้แอลกอฮอล์ยี่ห้ออะไร
กังวลว่าทำแบบนี้ถูกหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า ยิ่งข้อมูลเยอะก็ยิ่งกังวล ยิ่งไม่มีใครให้เชื่ออีกก็ไม่รู้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน
“แล้วมันจะกลายเป็นความเครียด ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่สามารถเอาความเครียดความกังวลนี้ออกไปจากหัว เขาจะอยู่กับความกังวลนั้นไปนาน ๆ จนอาจเกิดสภาวะซึมเศร้าในผู้ดูแลได้ เพราะเขาต้องแบกทั้งสภาวะการเงิน สภาวะที่เขาไม่ได้ออกไปใช้ชีวิต สภาวะที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความไม่แน่ใจ ความกลัว เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้เขาเบาขึ้นได้ มันก็เหมือนเชือกที่ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากหลุม
“ถ้ามีอะไรที่ทำให้เตยหายเครียดหายกังวลได้ เตยคว้าไว้เลย หาคนที่จะมาช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เราทำมันถูกแล้ว ซึ่งสำหรับเตยก็คือคุณหมอ
“บางคนเป็นสายหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตซึ่งมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทั้งหมด แต่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมันเหมือนเสื้อผ้าหลายไซส์ มีให้เลือกมากเกินไปแต่ไม่พอดีตัว เทียบกับการได้พูดคุยปรึกษากับคุณหมอแบบนี้ มันเหมือนได้สิ่งที่พอดีกับตัวเรามากกว่า เวลาปรึกษาคุณหมอก็ได้เห็นบริบทแวดล้อมของเราจริง ๆ
“อาการบางอย่างที่เราดูว่าเล็กน้อย เราไม่ได้อยากจะไปถึงโรงพยาบาล บางอย่างเราแค่อยากได้คำปรึกษาเพื่อแก้ไข โดยมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ หรือถ้ากรณีที่มีอาการผิดปกติมากจริง ๆ ก็จำเป็นต้องพาไปหาหมอ แต่อย่างน้อยเราก็มีคนให้คำปรึกษาก่อน เตยคิดว่าการที่ผู้ดูแลได้รู้ข้อมูล หรือได้คัดกรองเบื้องต้น มันช่วยให้คนดูแลมีสติ และช่วยให้คลายใจและไม่วิตกกังวลจนเกินไป”
เพื่อเข้าถึงบริการทางการแพทย์ทุกที่ทุกเวลา
“ในฐานะที่เตยดูแลแม่ที่ป่วยมาอย่างยาวนาน การได้เห็นวัตกรรมที่ทำให้คนป่วยเข้าถึงคุณหมอง่ายขึ้นทำให้เตยตื่นเต้นและดีใจมากเพราะสิ่งนี้สำคัญไม่ใช่แค่กับผู้ป่วย แต่ดีกับคนดูแลด้วย อยากให้ทุกคนได้มีตัวช่วยดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”
แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพยุคใหม่
MorOnline เป็นแอปพลิเคชันดูแลสุขภาพยุคใหม่ที่ช่วยให้เข้าถึงการแพทย์ได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่าน Video Call โดยสามารถเลือกแผนกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการรับคำปรึกษา นอกจากนี้ยังมีบริการประเมินอาการเบื้องต้นด้วยระบบ AI มีทั้งประเมินอาการของโรคทั่วไปประเมินอาการสุขภาพจิต รวมถึงประเมินพัฒนาการเด็ก และมีระบบสั่งยาส่งตรงถึงบ้านโดยมีเภสัชกรคอยให้คำแนะนำฟรี และบริการตรวจแลป Lab@Home ไม่ว่าจะเป็นตรวจคอเลสเตอรอล ตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ ตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และอื่น ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยป่วยติดเตียงที่เดินทางไม่สะดวก ซึ่งบริการเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การผู้ป่วย รวมถึงผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยสะดวกสบายยิ่งขึ้น
สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MorOnline บน IOS และ Android ได้ที่ : https://bit.ly/3gra2vk
