ต้นไม้ที่เติบโตแข็งแรง ทนฟ้า ทนฝน ทนลมพายุ จนแผ่กิ่งก้านใบให้ร่มเงา มากกว่านั้นบางต้นให้ดอก ออกผล เป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นหลักฐานว่าต้นไม้ต้นนั้นต้องผ่านการยืนระยะ และปฏิเสธไ ม่ได้ว่าการยืนระยะนั้นต้องใช้เวลา
เช่นกันกว่าจะเข้าใจชีวิตได้อย่างที่ได้เห็นจาก life is Fruity หรือ ชีวิตนี้หอมหวาน ตามชื่อภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ชีวิตของตัวเอกอย่าง ชูอิจิ ทสึบาตะ สถาปนิกมากประสบการณ์ ก็ล่วงเข้าสู่วันวัยที่ 90 ปี
สารคดีระดับรางวัลเรื่องนี้เล่ามุมมองธรรมดาของความสุขที่ทุกคนต่างมองเห็น แต่ใช่ว่าคนทุกคนจะค้นพบความธรรมดาที่พิเศษเช่นนี้ได้ เพราะต้องใช้ต้นทุนที่มีผ่านการบ่มเพาะ ก่อเกิด เติมเต็ม จนโชกโชนในบทบาทความเป็นมนุษย์คนหนึ่งมายาวนาน เรื่องธรรมดาๆ ที่ว่าจึงไม่ธรรมดาเสมอไป
คุณตาชูอิจิเป็นสถาปนิกออกแบบเครื่องบินรบให้กองทัพเรือในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามจบลง เขายังคงยึดอาชีพสถาปนิกต่อ จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเกิดขึ้นตอนเขาอายุ 36 เมื่อชูอิจิในวัยหนุ่มได้รับมอบหมายให้ รับ ผิดชอบ การออกแบบผังเมืองใหม่ในฐานะหัวหน้าสมาคมอสังหาริมทรัพย์
สถาปนิกหนุ่มวาดฝันถึงผังเมืองที่เอื้อให้ชาวเมืองได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ เน้นภูมิทัศน์ด้วยการสร้างบ้านตามสันเขา เพื่อให้ชาวเมืองได้เห็นว่ามีภูเขาอยู่ตรงไหนบ้าง ทั้งยังหลงเหลือป่าส่วนหนึ่งทิ้งไว้กลางเมือง และออกแบบเส้นทางเดินลม
แต่ทว่าในโลกความจริงนั้นผังเมืองที่จินตนาการไว้ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ เพราะรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นในยุคนั้นกลับมองว่าความประหยัดและความรวดเร็วเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ สำหรับการสร้างเมือง
“ผมคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ปลูกป่าขึ้นที่นี่ได้อีกครั้ง ผมเลยตัดสินใจสร้างป่าเล็กๆ บนผืนที่ดินที่ซื้อไว้ เพื่อจะอนุบาลพืช พันธุ์ต่างๆ มันเป็นการทดลองเพื่อแสดงให้เห็นว่า แต่ละคนสร้างผืนป่าของตัวเองได้”
คุณตาชูอิจิเป็นสถาปนิกที่มีสุนทรียะในหัวใจ เขาคิดเช่นนั้นและทำสิ่งที่เชื่อมั่นมาตลอด เขาคิดว่าถ้าทุกบ้านปลูกป่าเล็กๆ ได้ พื้นที่แห่งนี้ก็จะเหมือนป่าชุมชน เขาจึงเริ่มทำงานของตัวเองพร้อมกับทำงานเพื่อชุมชนมาตลอด 50 ปี
คุณตามี ฮิเดโกะ ทสึบาตะ วัย 87 ปี เป็นคู่ชีวิต คุณยายฮิเดโกะเป็นลูกสาวคนเดียวของโรงหมักสาเก ที่เก่าแก่กว่า 200 ปี ผู้ที่เติบโตมากับขนบประเพณีและวิธีการเลี้ยงคนละแบบกับสามี แม้จะมาจากรากที่แตกต่างกันแต่ทั้งคู่เป็นเสมือนหุ้นส่วนชีวิตที่เรียนรู้และผ่านฤดูกาลต่างๆ ด้วยกันมาเกือบ 70 ปี
คุณตาและคุณยายอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาของ ‘บ้านทสึบาตะ’ บ้านหลังคาสีน้ำตาลแกมแดงที่ดูอบอุ่น ในเมืองคาสุไก จังหวัดไอจิ บ้านที่มีอายุนานกว่า 40 ปีนี้เป็นบ้านที่คุณตาสร้างและออกแบบขึ้นตามสถาปนิกคนโปรดของเขา อาณาบริเวณรอบบ้านมีไม้ผล ไม้ดอก ไม้ยืนต้นที่เริ่มต้นปลูกมาตั้งแต่ผืนดินแห้งผาก
ต่อเมื่อสายลมพัด ใบไม้แห้งก็ร่วงหล่น ดินก็สมบูรณ์ พืชผลก็เติบโตช้าๆ อย่างมั่นคง
สองสามีภรรยาลงแรงกับการสร้างพื้นที่ชีวิตของตัวเอง ในสารคดีเราจึงได้เห็นภาพความหอมหวานที่หลายหลากของเหล่าไม้นานาพรรณ เช่น มันฝรั่ง หน่อไม้ ข้าวโพด มะนาว ผักกาดหัว ดอกโบตั๋น ลูกพลับ เกาลัด แตงโม มะเดื่อ เผือก บ๊วย ทั้งพันธุ์เล็กและธรรมดา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของพืชพันธุ์ที่เจ้าของบ้านตั้งใจปลูกและดูแล ส่วนภูเขาที่เดิมที่เป็นเขาหัวโล้นหลังบ้าน คุณตาคุณยายก็ชวนคนที่สนใจมาร่วมปลูกต้นโอ๊กด้วยกัน
บ้านของทั้งสองน่าอยู่ ร่มรื่นด้วยพรรณไม้นานาสีสัน ทั้งยังมีกิจกรรมมากมายให้ชีวิตยามวัยชราของทั้งคู่ไม่นิ่งเฉยและไม่น่าเบื่อ ทั้งคู่ช่วยกันทำปุ๋ยหมักไว้ใช้ รดน้ำ ขุดดิน ซ่อมหลังคา เก็บผลไม้ ตกแต่งสวน ทำกับข้าวกินกันเอง ไปจนถึงการเขียนป้ายข้อความน่ารักๆ ปักไว้เตือนสติกันและกันตามจุดต่างๆ แถมด้วยป้ายเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่บ้านหลังนี้ด้วย
ในบ้านมีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไร้ไฟฟ้าที่สลับเปลี่ยนกันใช้อย่างคนตามทันโลก แม้อายุมากแล้ว แต่ทั้งคู่ยังเคลื่อนไหวได้อย่างแข็งแรงด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งไม้เท้าเวลาเดินเหิน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระลูกหลาน จะไปไหนหรือทำอะไรก็สามารถทำเองได้ ทั้งนั่งรถเมล์ ขึ้นรถไฟ เดินซื้อของ ส่งพัสดุ ส่งจดหมาย หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยาน
นอกจากทั้งสองจะช่วยกันดูแลบ้านเป็นอย่างดีแล้วก็ยังดูแลตัวเองได้ดี ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อกันและกัน หรือต่อใครๆ
“เราสะสมเงินไว้ให้คนรุ่นต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าเราทำดินดี ลูกหลานก็ปลูกพืชผลได้”
ร่างกายที่แข็งแรง สมบัติเดิมที่มี หน้าที่การงาน หรือการเตรียมตัวเตรียมพร้อมรับอายุขัยที่มากขึ้นซึ่งสองตายายทำได้ดีนั้นก็ส่วนหนึ่งทำให้มีชีวิตที่มีคุณภาพ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเหตุที่ชีวิตหลังเกษียณที่เห็นในสารคดีดำเนินไปได้อย่างสวยงามนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายรัฐสวัสดิการที่ดีที่ช่วยให้คนสูงวัยได้มีเงินบำนาญในการใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างมั่นคง
ในตอนหนึ่ง คุณยายฮิเดโกะผู้มีหน้าที่จ่ายตลาดเล่าว่า ตัวเองนั้นมีเงินบำนาญใช้เดือนละ 320,000 เยน คิดเป็นเงินไทยแล้วประมาณ 97,000 บาท เธอจึงตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่เสมอและใช้เงินที่ได้รับอย่างคุ้มค่า เพื่อให้มีชีวิตที่ไม่สร้างความลำบากให้กับลูกหลาน พวกเด็กๆ จึงได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อเติบโตและเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่ดีในสังคม
“เราต้องดูว่า เราทำอะไรได้บ้าง แล้วขยันฝึกฝน มันใช้เวลา แต่เราจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น เราต้องลงมือทำเอง”
ประโยคข้างต้นคือคือสิ่งที่คุณตา ชูอิจิ ยึดมั่น และเป็นตัวอย่างให้คุณยายฮิเดโกะนำไปปรับใช้ในชีวิตของเธอ
ชีวิตหอมหวานยามแก่เฒ่า ชีวิตที่ตัวเองสามารถเลือกออกแบบเองได้แบบคู่สามีภรรยาทสึบาตะที่เห็นในเรื่องนี้จึงดูเป็นชีวิตที่ดูโรแมนติกในแบบของตัวเอง แต่ ในโลกใบนี้มีทั้งเรื่องใจดีและใจร้ายให้เราได้เจอ ได้เรียนรู้ ได้ใช้เวลา ซึ่งเรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่ทุกคนต่างรู้
สารคดีเรื่องนี้ก็เช่นกัน ภาพความสุขสบายในฉากชีวิตของตายายเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะเบื้องหลังวันวานกว่าจะผ่านมาถึงเวลานี้ได้ไม่สามารถฉายให้เห็นได้ภายในเวลาเพียงชั่วโมงครึ่งตามความยาวของเรื่อง
แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ ( Frank Lloyd Wright) สถาปนิกคนสำคัญคนหนึ่งของโลกก็ยังเคยพูดความจริงข้อหนึ่งไว้ว่า “ยิ่งคุณใช้ชีวิต ชีวิตของคุณก็ยิ่งงดงาม” ซึ่งก็เหมือนกับชีวิตของคุณตาชูอิจิและคุณยายฮิเดโกะใน Life is Fruity ที่หอมหวานขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา
สารคดีเรื่องนี้ชวนให้ผมคิดถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้น ณ ในบ้านหลังหนึ่งใต้แสงจันทร์ ผมจดและจำสิ่งที่เจ้าของบ้านในวัย 50 กว่าปีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกองไฟบอกไว้ว่า
“ถึงสังคม รัฐ หรือ อำนาจไหนๆ มันจะไม่ยุติธรรมกับเรา แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งที่เราลงแรงไปแล้วไม่มีวันสูญเปล่า โลกนี้ยุติธรรมกับเราเสมอ”
ต้นไม้ของ บ้านทสึบาตะ ยังแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ออกดอกผลอยู่ทุกฤดูกาล สารคดีที่หน้าหนังดูเรียบๆ เรื่องนี้จึงยิ่งย้ำให้ผมเชื่อมั่นว่า ‘การยืนระยะต้องใช้เวลา’
และใช้เวลาที่มีไปตามเส้นทางของเรา… ช้าๆ อย่างมั่นคง
หมายเหตุ: Life is Fruity ( 人生フルーツ ) หรือชื่อภาษาไทยว่า ชีวิตนี้หอมหวาน สามารถหาชมได้ทาง VIPA แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงจากไทยพีบีเอส
ภาพยนตร์สารคดีชิ้นนี้คว้ารางวัลสารคดียอดเยี่ยมประจำปี 2017 จากเวที Kinema Jumpo Award โดยมี เคนชิ ฟูชิฮาระ (Kenshi Fushihara) เป็นผู้กำกับและผู้เรียบเรียงเรื่องเล่าและทัศนะของคุณตาชูอิจิกับคุณยาฮิเดโกะออกมาเป็นเรื่องราว และได้ คิริน คิกิ (Kirin Kiki) นักแสดงหญิงระดับตำนานของญี่ปุ่นเป็นผู้บรรยาย โดยงานบรรยายเสียงในสารคดีเรื่องนี้เป็นผลงานท้ายๆ ของเธอก่อนจะเสียชีวิตในปีถัดมาหลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล
รับชมได้ที่: https://bit.ly/3ad3lGD