“เจ.ดี.แวนซ์” คู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์ ผู้มี “ยาย” เป็นเสมือนลมใต้ปีกแห่งความสำเร็จ

วินาทีนี้ คงแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “เจดี แวนซ์” วุฒิสมาชิกที่อายุน้อยเกือบที่สุดในสหรัฐฯจากรัฐโอไฮโอ ด้วยวัยเพียง 39 ปี ที่โดนัลด์ ทรัมป์เลือกมาเป็นคู่ร่วมเดินทางมุ่งสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งในฐานะรองประธานาธิบดี

ขณะนี้ในสื่อความขวาสุดขั้วของเขา รวมถึงจุดยืนที่เคยวิพากษ์ทรัมป์ที่เปลี่ยนเป็นเอออวยในทุกนโยบายกำลังเป็นประเด็นข่าวที่ผู้คนสนใจ แต่การเพียรพยายามฝ่าฟันจากเด็กที่ในมุมมองระบาดวิทยาเขาต้องเป็นผู้แพ้ที่สังคมร่วมกันผลิตอีกคนแน่ ๆ ก้าวมาสู่คนแถวหน้าแบบวันนี้ได้ เพราะมียายเป็นลมใต้ปีก 

เด็กหนุ่มผิวขาวจากรัฐที่ยากจน มีแม่เลี้ยงเดี่ยวติดยา เปลี่ยนผู้ชายหลากหน้า โตมากับยาย ฝ่าอุปสรรคมากมายจนสามารถจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

แม้ยายจะไม่ใช่ผู้ใหญ่ในฝันที่ประคบประหงมเอาอกเอาใจเขาแบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม กลับกันยายเป็นคนอารมณ์เสีย ปากร้าย แต่ก็รักเขามาก แล้วก็เป็นผู้ใหญ่คนเดียวในชีวิตที่ประคับประคองเขาในแบบของยาย 

“ผมเสียใจที่ไม่เคยบอกใคร ๆ ว่า ยายสำคัญกับผมแค่ไหน”

เด็กหนุ่ม : “ผมโคตรเกลียดยายเลย ยายรู้ไหม” (หลังจากที่ยายไล่เพื่อน ๆ ของเขากลับไป เพราะพวกนั้นไม่เรียนหนังสือ)

ยาย : “ยายไม่ใช่คนดีเด่อะไร ยายไม่สน แต่แกต้องตั้งใจทำงาน แกต้องไปโรงเรียน ทำเกรดดี ๆ เพื่อจะได้มีโอกาส”

เด็กหนุ่ม : “แม่ก็เรียนเก่ง แล้วมันได้อะไร”

ยาย : “เรื่องก็คือ แกไม่รู้ห่าอะไรเลย ฉันกำลังพูดถึงโอกาส แกอาจจะทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่พยายาม มันก็ไม่มีอนาคต”

เด็กหนุ่ม : “ยายจะสนไปทำไมว่าผมจะทำอะไร”

ยาย : “ฉันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ใครจะดูแลครอบครัวนี้ พอฉันตายแล้ว แม่แกจมปลักอยู่ที่นี่ หยุดที่จะไขว่คว้า แกจะต้องตัดสินใจเอง จะเป็นผู้เป็นคนหรือไม่”

นี่คือบทสนทนาจากภาพยนตร์ Hillbilly Elegy บันทึกหลังเขา ของผู้กำกับรอน โฮเวิร์ด ที่ดัดแปลงจากหนังสือยอดนิยมของ เจดี แวนซ์ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาในมิดเดิ้ลทาวน์ เมืองอุตสาหกรรมเหล็กที่ร่วงโรยของรัฐโอไฮโอ บทสนทนานี้ สะท้อนทั้งอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนกราดเกรี้ยวของยายหลาน ความหวังและความสิ้นหวังถึงอนาคตของหลานชายในสังคมที่มืดมน

ณ วินาทีนี้ คงแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ เจ.ดี. แวนซ์ วุฒิสมาชิกที่อายุน้อยเกือบที่สุดในสหรัฐฯ จากรัฐโอไฮโอ ด้วยวัยเพียง 39 ปี ที่โดนัลด์ ทรัมป์เลือกมาเป็นคู่ร่วมเดินทางมุ่งสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งในฐานะรองประธานาธิบดี

หลังเหตุลอบยิงเขาระหว่างการปราศรัยหาเสียง คะแนนเสียงของทรัมป์ดีวันดีคืน ขณะที่คู่แข่งอย่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวจากการชิงชัยครั้งนี้ไปแล้ว แบบที่นิตยสาร The New European พาดหัวฉบับล่าสุดสัปดาห์นี้ว่า “The bullet hit Trump – but it killed Joe Biden.” กระสุนโดนทรัมป์ แต่คนที่ตายคือโจ ไบเดน แน่นอนว่า คู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์ก็มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นรองประธานาธิบดีตัวจริงในที่สุด 

Hillbilly Elegy เป็นหนังสือขายดีที่ตีพิมพ์ในปี 2016 แม้ดูเหมือนเป็นบันทึกความทรงจำของเด็กหนุ่มผิวขาวจากรัฐที่ยากจน มีแม่เลี้ยงเดี่ยวติดยา เปลี่ยนผู้ชายหลากหน้า โตมากับยาย ฝ่าอุปสรรคมากมายจนสามารถจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แต่หนังสือเล่มนี้ถูกใช้อย่างมากในฐานะฐานข้อมูลด้านสังคมวิทยาเพื่อทำความเข้าใจกับคนขาวยากจน-ฝ่ายขวากลุ่มหลักที่เลือกทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 

คนขาวเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นผู้แพ้จากโลกาภิวัตน์ เมื่ออุตสาหกรรมที่เคยรุ่งเรืองเป็นสายเลือดหลักในพื้นที่ Rust Belt ถูกย้ายไปประเทศอื่นที่ค่าแรงถูกกว่า เศรษฐกิจของเมืองค่อย ๆ ตายลง ลูกหลานของพวกเขาไม่สามารถเข้าโรงเรียนและมหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ เพราะถูกลูกหลานอีลีทและชนชั้นกลางระดับบนจากเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและจีนเข้ามาแย่ง จนพวกเขาและลูกหลานไม่สามารถกลับไปอยู่ในตลาดแรงงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงอีก ความไร้การศึกษา ไร้ประกันสุขภาพ ยาเสพติด และความรุนแรงในครอบครัว จึงแทบจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกชีวิตในพื้นที่นี้ต้องเผชิญ

นอกเหนือจากประเด็นทางสังคมวิทยาการเมืองที่เป็นฉากหลังของเรื่องราว สิ่งที่ รอน โฮเวิร์ด ผู้กำกับสนใจที่จะกำกับภาพยนตร์จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ ความรู้สึกทึ่งในประเด็นสภาพและความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แวนซ์เติบโตมา

แวนซ์อยู่กับแม่และพี่สาว ไม่ไกลจากบ้านของตายายในเมืองมิดเดิ้ลทาวน์ที่ซึ่งร้านค้าเปิดกิจการน้อยกว่าที่ปิดกิจการ แม้กระทั่งโรงงานเหล็กขนาดยักษ์ใหญ่ก็ปิดกิจการเช่นกัน 

แม่เป็นพยาบาลที่ติดยา อารมณ์ไม่มั่นคง เปลี่ยนผู้ชายหลายครั้งทำให้ลูกต้องเปลี่ยนบ้านไปเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนผู้ชายของแม่ 

ครั้งหนึ่งแม่อารมณ์ไม่เสถียรถึงขั้นขับรถด้วยความเร็วสูง ขู่เขาว่าจะขับรถชนให้ตายพร้อมกัน “แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก เพื่อให้ลูกและลินซีย์ได้มีทุกอย่างที่แม่ไม่เคยมี แม่สอบได้ที่สองของห้อง แต่ไม่มีใครเคยแม่พาไปห้องสมุด หรือบอกว่า เราจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ได้จะช่วยจ่ายค่าเทอมให้ แม่จะขับรถชน เราจะได้ตายไปพร้อมกัน” 

เหตุการณ์วันนั้นทำให้แวนซ์กลัว จนเขาต้องวิ่งลงจากรถ หนีไปบ้านคนแถวนั้นให้โทรเรียกตา-ยายมาช่วย กระทั่งต่อมาเขาจึงขอย้ายมาอยู่กับยาย 

ตอนหนึ่งในภาพยนตร์ เจ้าหน้าที่ของกลุ่ม Meal on Wheels ที่ส่งอาหารให้กับคนชรายากไร้วันละมื้อเอาอาหารมาส่งให้ที่บ้าน เด็กหนุ่มแอบได้ยินยายบอกกับเจ้าหน้าที่ “ขออาหารเพิ่มอีกกล่องได้ไหม ฉันไม่ค่อยมีรายได้ เดือนนี้ไม่มีเงินซื้อยาแล้ว” 

มีเท่านี้จริงๆครับ เจ้าหน้าที่ตอบ “อะไรก็ได้นะ” เจ้าหน้าที่ล้วงหาในกระเป๋าได้ผลไม้ 1 ลูกและขนมอีก 1 ซอง ยายแบ่งอาหารในกล่องนั้นให้ได้สองจานสำหรับตัวยายเองและแวนซ์ โดยที่ขนมและผลไม้ยายให้เขาทั้งหมด 

ระหว่างนั้น ไม่มีบทสนทนาใด ๆ แวนซ์รู้ดีว่า ยายเพิ่งหมดเงินไปกับการซื้อเครื่องคิดเลขที่มีสูตรการคำนวณครบถ้วนให้กับเขาในราคาที่ยายถามว่า มันทำจากทองคำหรือ ก่อนหน้านี้เขาพยายามขโมยจนถูกเจ้าของร้านจับได้ ยายมารับตัวเขาพร้อมกับซื้อเจ้าเครื่องคิดเลข 84 ดอลลาร์นั้นกลับมาด้วย  

แวนซ์กลับมาตั้งใจเรียนจนสามารถทำคะแนนวิชาพีชคณิตสูงสุดในชั้นมาอวดยาย 

“ทำต่อไปๆ” ยายไม่ยิ้ม แต่รับใบเกรดไปจ้องเงียบๆอยู่นาน แวนซ์เริ่มทำงานพิเศษไปด้วยและช่วยงานบ้านแบบที่ยายไม่ต้องพร่ำบ่น

และก็เหมือนกับคนขาวยากจนทั่วไปที่อเมริกันดรีมของพวกเขาจะเกิดขึ้นได้เมื่อสมัครไปเป็นทหารในสงครามอิรัก โชคดีที่เป็นปลายสงคราม แวนซ์ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคจิตเวชและจากความรุนแรงของสงครามดังเช่นที่เกิดกับเด็กหนุ่มอเมริกันอีกนับหมื่นคน แวนซ์เก็บรวบรวมค่าเทอมแล้วกลับเข้ามาเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอแล้วต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเยล 

น่าเสียดายที่ยายไม่มีโอกาสเห็นความสำเร็จนี้ ยายจากไปช่วงที่เขาเข้ารับราชการเป็นทหาร 

ผู้ที่เคยได้ฟังหนังสือเสียง (Audio Book) เวอร์ชันที่แวนซ์อ่านด้วยตัวเอง ได้รีวิวว่า ‘น้ำเสียงที่แวนซ์อ่านเอง อินเป็นพิเศษ ฟังแล้วก็ค่อนข้าง emotional เหมือนกันในหลายๆ จุด โดยเฉพาะตอนที่ชีวิตมีปัญหา หรือตอนที่ยายตาย

แม้ยายจะไม่ใช่ผู้ใหญ่ในฝันที่ประคบประหงมเอาอกเอาใจเขาแบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม กลับกันยายเป็นคนอารมณ์เสีย ปากร้าย แต่ก็รักเขามาก แล้วก็เป็นผู้ใหญ่คนเดียวในชีวิตที่ประคับประคองเขาในแบบของยาย 

“ผมเสียใจที่ไม่เคยบอกใคร ๆ ว่า ยายสำคัญกับผมแค่ไหน ยายป่วยอยู่นานมาก ผมทนไม่ได้ที่คิดว่า ยายจะตายจริง ๆ” ขณะที่กับแม่ที่ดูเหมือนเป็นภาระชีวิตมากกว่าหลังอิงที่อบอุ่น ในวันที่เขากำลังจะเข้าสัมภาษณ์ครั้งสำคัญเพื่อทำงานในช่วงหน้าร้อนกับสำนักงานทนายความชั้นนำเพื่อนำเงินที่ได้ไปเป็นค่าเล่าเรียนในเทอมถัดไป ลินซีย์ พี่สาวโทรศัพท์มาบอกให้เขารีบกลับบ้านที่มิดเดิ้ลทาวน์ แม่เข้าโรงพยาบาลเพราะเสพเฮโรอีนเกินขนาด แม่ไม่ยอมเข้าบำบัด แต่พี่สาวก็ยังพยายามพูดให้เขาเข้าใจแม่ 

“พี่ปกป้องแม่ไม่ได้ พี่พยายามให้อภัยแม่ ถ้าเธอทำไม่ได้ เธอก็จะไม่หลุดพ้นจากสิ่งที่พยายามหนีไปได้หรอก”

ในวันที่แวนซ์ตอบรับการเสนอชื่อเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีคู่กับทรัมป์ แม่ของเขามีโอกาสที่ดีกว่ายาย เพราะได้ส่งสายตาอบอุ่นไปยังลูกชายบนเวที และได้ตะโกนบอกรักเขา

“การเคลื่อนไหวของเราเกี่ยวกับแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกับแม่ของผมที่ต้องต่อสู้เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว ต่อสู้กับการติดยาเสพติดโดยที่ไม่เคยยอมแพ้ จนวันนี้แม่ไม่หันกลับไปใช้ยามา 10 ปีแล้ว ผมรักแม่ครับ” นี่คือสิ่งที่เขาพูดถึงแม่จากบนเวที 

บนหน้าสื่อความขวาสุดขั้วของแวนซ์ รวมถึงจุดยืนที่เขาเคยวิพากษ์ทรัมป์ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเออออในทุกนโยบายกำลังเป็นประเด็นข่าวที่ผู้คนสนใจ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความเพียรพยายามฝ่าฟันจากเด็กที่มาจากครอบครัวที่ขาดพร่อง แต่ทว่ากลับก้าวมาสู่คนแถวหน้าในสังคมแบบวันนี้ได้ ก็นับว่า มีแง่มุมที่น่าสนใจไม่น้อย 

“ในชีวิตผมได้รับการช่วยเหลือไว้ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ยายช่วยผม ครั้งที่สองคือสิ่งที่ยายสอน ที่ที่เรามาคือรากเหง้าของเรา แต่เราเลือกได้เสมอว่าเราจะเป็นใคร ครอบครัวผมไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาหล่อหลอมตัวผม ให้โอกาสที่พวกเขาไม่เคยได้รับให้กับผม อนาคตของผมไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันคือมรดกของพวกเรา”

อ้างอิง : 

  • Hillbilly Elegy (บันทึกหลังเขา) – Netflix

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ