Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

หนี้ทั้งหมดต้องปลดก่อนเกษียณ แนวคิดของ ‘ลุงมานะ’ รปภ. วัยเกษียณ เจ้าของชีวิตไร้หนี้กับเงินเก็บอีกกว่า 2 ล้าน

การมีหนี้ไม่ใช่ปัญหาและไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่การเป็นหนี้จะกลายเป็นปัญหาหากไม่สามารถจัดการได้ ทำให้ตัวเลขหนี้สินพอกพูนจนไม่เห็นทางที่จะพ้นสถานะมนุษย์หนี้

นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ มานะ มั่งสกุล พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เคยแบกหนี้สินหลักล้านไว้นานเกือบ 20 ปี แต่มาวันนี้ในวัย 65 ปี หนี้สินทุกบาททุกสตางค์ได้หมดไปจากชีวิตแล้ว แถมยังมีเงินเก็บอีกกว่า 2 ล้านบาท

ลุงมานะทำได้อย่างไร … เขากำลังจะเล่าทุกอย่างให้เราฟังหลังจากบรรทัดนี้

หนี้ที่มาจากความตั้งใจ

ลุงมานะเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เขาเกิดและเติบโตที่ย่านนางเลิ้ง พ่อกับแม่ต่างแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ ทิ้งให้เด็กน้อยต้องอยู่กับย่าตามลำพัง

รายได้ของย่าที่ใช้เลี้ยงปากท้องมีเพียงเงินจากการรับฝากเลี้ยงเด็กๆ ในละแวกบ้านเท่านั้น บ่อยครั้งเด็กชายจึงต้องช่วยย่าหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บเศษเหล็ก เศษทองแดงไปขายเพื่อนำเงินมาประทังชีวิต และด้วยฐานะทางบ้านนี่เองที่ส่งผลให้เขาขาดโอกาสทางการศึกษา

“ความยากจนทำให้เรามีโอกาสในชีวิตน้อยกว่าคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา เราเองก็อยากเรียนสูงๆ แต่ไม่มีเงิน เรียนจบแค่ ป .2 ก็ต้องเลิกเรียน ก่อนจะมาเรียนศึกษาผู้ใหญ่ต่อจนจบ ป.6 ตอนที่โตแล้ว”

ลุงมานะผ่านงานมาหลายอย่าง ทั้งคนงานในบริษัทผลิตยา พนักงานขับรถส่งของบริษัทกระดาษ ก่อนที่จะมาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของธนาคารทหารไทย สำนักงานใหญ่ จนกระทั่งเกษียณอายุ

เพราะเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาสร้างครอบครัวของตัวเอง ลุงมานะจึงพยายามทำให้ครอบครัวอบอุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาฝันว่าวันหนึ่งจะมีบ้านสักหลังเพื่อที่ตัวเอง ภรรยา และลูกๆ ทั้ง 3 คน จะได้มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ต้องคอยจ่ายค่าเช่าบ้านทุกเดือน

“ถ้ามีบ้านของตัวเองได้มันก็ดีกว่า เราเสียเงินผ่อนแล้วบ้านก็เป็นของเรา แต่ถ้าเราเช่าไปเรื่อยๆ จ่ายไปกี่เดือนกี่ปี บ้านก็ยังเป็นของคนอื่น อีกอย่าง การที่เรามีบ้านของตัวเองมันทำให้ครอบครัวมั่นคงและทุกคนสุขสบายมากขึ้น แรกๆ เรายังได้แต่คิดเรื่องนี้ จนวันหนึ่งองค์กรที่เราทำงานอยู่เขามีสวัสดิการให้พนักงานกู้เงินผ่อนบ้านได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และให้ผ่อนได้ถึงตอนเกษียณอายุ 60 ปี เราก็เลยทำเรื่องซื้อบ้านของตัวเอง ”

บ้านแฝด 2 ชั้น ขนาด 30 ตารางวา กลายเป็นวิมานอันอบอุ่นของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ในที่สุดความฝันของคุณลุงก็กลายเป็นความจริง

แต่เป็นความจริงที่แลกมากับการเป็นหนี้ก้อนโต

แผนปลดหนี้ที่มีดีทั้งเกมรุกและเกมรับ

ลุงมานะผ่อนบ้านงวดแรกเมื่ออายุ 40 ปี โดยต้องผ่อนเดือนละประมาณ 12,000 บาท และมีกำหนดระยะเวลา 20 ปี หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาต้องผ่อนบ้านไปจนถึงวันเกษียณจากงานนั่นเอง

“เราเอาตัวเลขรายได้ทั้งหมดของเราและภรรยามากางดู เงินเดือนเราประมาณ 2 หมื่นต้นๆ ส่วนของแฟนอยู่ที่หมื่นนิดๆ ถ้าต้องผ่อนบ้านเดือนละประมาณ 12,000 บาท เท่ากับเราจะเหลือเงินใช้เดือนละหมื่นปลายๆ ถึง 2 หมื่น ไหนเราจะมีลูกเล็กอีก 3 คน นั่นทำให้เรารู้เลยว่าต้องหารายได้เพิ่ม เพราะรายได้จากงานประจำที่ทำอยู่มันไม่พอ”

เพื่อให้เป็นไปตามแผน ลุงมานะจึงเริ่มขับแท็กซี่หลังเลิกงานและในวันเสาร์ – อาทิตย์ การขับแท็กซี่ช่วยเพิ่มรายได้อีกประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่อนบ้านไปได้ครึ่งทาง ลุงมานะก็มีหนี้เพิ่มอีกก้อนจากการซื้อรถ

“หลังผ่อนบ้านไปได้ราว 10 ปี เราก็ออกแท็กซี่ คราวนี้จากหนี้บ้านอย่างเดียวก็มีหนี้รถเพิ่มขึ้นมาด้วย สาเหตุที่เราออกรถแท็กซี่เป็นของตัวเองเพราะมองว่ามันดีกว่าการเช่าแบบเป็นกะ”

ลุงมานะเห็นว่าการเช่าแบบเป็นกะนั้น นอกจากจะไม่ได้รถมาเป็นสมบัติของตัวเองแล้ว ทุกๆ วันที่ทำงานยังเสียเวลาในการทำเงินเพิ่มด้วย เพราะก่อนนำรถไปคืนอู่ คนขับต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในการเติมแก๊ส ล้างรถ และทำความสะอาด

“เราสามารถเอาเวลา 1 ชั่วโมง ตรงนั้นไปหาเงินเพิ่มได้ไม่น้อยเลย แล้วลองคิดว่าเดือนหนึ่งมี 30 วัน เท่ากับเราเสียเวลาไป 30 ชั่วโมง เรามองว่าตัวเลขเงินที่เคยหายไปจากขั้นตอนพวกนั้นก็น่าจะพอนำมาผ่อนรถเองได้ แล้วถ้ามีใครจ้างเหมาเป็นพิเศษในวันหยุด เราก็รับงานได้เลยเพราะรถอยู่กับเรา ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะต้องคืนรถเมื่อไหร่ คิดแล้วมันดีกว่าในระยะยาวก็เลยตัดสินใจยอมเป็นหนี้อีกก้อน”

ลุงมานะใช้เวลา 7 ปี ในการผ่อนรถแท็กซี่เดือนละ 15,000 บาท ในแต่ละเดือน เขาหารายได้เสริมเพิ่มจากเดิมได้อีก 5,000-10,000 บาท ซึ่งเมื่อบวกรวมกับเงินเดือนทั้งของเขาและภรรยาที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้สองสามีภรรยาช่วยกันปลดหนี้ในการผ่อนรถได้โดยไม่เดือดร้อน

นอกเหนือจากการหารายได้พิเศษเพิ่มเติมและการวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดีในการหาวิธีปลดหนี้แล้ว ลุงมานะยังสร้างวินัยเรื่องการใช้เงินจนกลายเป็นนิสัย เพื่อป้องกันการเสียเงินโดยไม่จำเป็น เรียกว่าหากเปรียบเทียบการจัดการหนี้สินของเขาเป็นการเล่นฟุตบอลก็ถือได้ว่าเป็นแผนการเล่นที่มีดีทั้งเกมรุกและเกมรับ

“เราวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม พยายามประหยัดและใช้เงินอย่างคุ้มค่า อย่างเวลาใช้บัตรเครดิตในการผ่อนอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่ใช่ผ่อน 0 เปอร์เซ็นต์ เราจะไม่เอาเลย ต่อให้เสียดอกเบี้ยถูกแค่ไหน แม้แต่ดอกเบี้ยไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เราก็ไม่เอา ต้องเป็นดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เราถึงยอมผ่อน เพราะเราไม่ได้เสียเงินเพิ่ม แถมยังเก็บเงินสดเอาไว้หมุนเวียนใช้จ่ายได้ด้วย”

ลุงมานะตั้งเป้าหมายในชีวิตเอาไว้ว่าต้องปลดหนี้ทุกอย่างให้หมดก่อนเกษียณ เนื่องจากมองว่าหากเกษียณแล้วยังมีหนี้สินอยู่ ถึงเวลานั้นตัวเขาจะไม่มีแรงหาเงิน และชีวิตบั้นปลายที่เต็มไปด้วยหนี้ก็คงเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขเท่าใดนัก

“เราตั้งใจไว้ว่าพอเกษียณแล้วเราจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข”

สำหรับลุงมานะ ชีวิตที่ดีและมีความสุขของเขาต้องไม่มี 2 อย่าง นั่นคือไม่มีหนี้ และไม่มีโรค

เมื่อการปลดหนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน

ลุงมานะไม่ได้มุ่งปลดหนี้ด้วยการหาเงินและใช้จ่ายอย่างประหยัดเท่านั้น แต่เขายังเชื่อว่าการมีสุขภาพดีก็คือการปลดหนี้อีกทางหนึ่ง

“ให้หาเงินได้เยอะเท่าไหร่ ให้ใช้เงินประหยัดแค่ไหน แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี มีแต่โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มีทางปลดหนี้ได้สำเร็จ นอกจากปลดหนี้ไม่ได้แล้ว หนี้ยังจะเพิ่มขึ้นด้วยเพราะเงินที่หาได้แทนที่จะเอาไปผ่อนบ้าน ผ่อนรถ อาจจะต้องเอาไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแทน”

ด้วยเหตุนี้ ลุงมานะจึงพยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน ทั้งงานหลักและงานรอง แต่เขาก็พยายามออกกำลังกายด้วยการเดินให้มากที่สุดในแต่ละวัน

“เคยอ่านหนังสือเจอว่าการเดินวันละหมื่นก้าวช่วยทำให้สุขภาพดีแล้วก็ลดโรคภัยไข้เจ็บได้หลายโรค ยอมรับว่าด้วยความที่มีหนี้สินทำให้เราต้องทำงานหาเงิน ไม่มีเวลาออกกำลังกายเป็นประจำเหมือนคนอื่นเขา ก็เลยอาศัยเดินให้มากในชีวิตประจำวันแทน

“ถ้าใครใช้ให้ไปซื้ออะไรเวลาทำงาน เราก็เดินไป ไม่นั่งรถ หรือเวลาที่เจ้านายให้เอารถไปเข้าอู่แล้วขากลับเขาจ่ายค่าแท็กซี่ให้เรานั่งกลับมา เราก็เอาเงินค่ารถเก็บไว้แล้วเดินกลับออฟฟิศแทน พูดง่ายๆ ว่าเวลาที่ต้องเดินทางไปที่ไหน ถ้าไม่ไกลหรืองานไม่เร่งรีบมาก เราจะใช้เดินเอาทั้งหมด”

นอกจากออกกำลังกายด้วยการเดินแล้ว ลุงมานะยังดูแลสุขภาพด้วยการเลือกกินอาหารที่เหมาะกับร่างกายตัวเอง

“เราไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ อย่างหมู ไก่ เนื้อนี่เลิกเลย เพราะมันย่อยยาก ไม่ดีต่อสุขภาพของคนอายุมากอย่างเรา แต่จะกินผัก กินปลาที่ย่อยง่ายกว่าแทน แล้วก็จะไม่กินอาหารที่หวานหรือมันมากๆ ด้วย

“การดูแลสุขภาพให้ดีทำให้เรามีแรงออกไปหาเงินมาปลดหนี้ได้ แทนที่จะต้องเสียค่ายา ค่าหมอ หรือนอนป่วยอยู่บนเตียง”

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ทำงานหนักเพื่อผ่อนบ้าน ผ่อนรถ การดูแลตัวเองและความพยายามออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ในชีวิตประจำวันทำให้ลุงมานะแทบไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย

การดูแลสุขภาพคือปัจจัยที่ใครหลายคนอาจมองข้ามเมื่อต้องการจะปลดหนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับคนอย่าง มานะ มั่งสกุล พนักงานรักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ ที่มีเงินเก็บกว่า 2 ล้านบาท

ไร้หนี้ ไร้โรค ไม่ไร้สุข

ในวัย 65 ปี ปัจจุบันลุงมานะทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ชีวิตของคุณลุงไม่ได้ต้องกังวลกับเรื่องเงินแล้ว เป็นชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพ ไม่มีโรค ไม่มีหนี้สิน และมีเงินเก็บในบัญชีกว่า 2 ล้านบาท

“เงินเก็บก้อนนี้คือเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นเงินที่เราได้จากการเกษียณอายุเมื่อครั้งทำงานที่ธนาคารทหารไทย ตอนที่เรายังมีหนี้ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เราไม่มีเงินเก็บเพราะต้องนำเงินไปปลดหนี้ให้หมดก่อน แต่เรามองว่าเรามีเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ ซึ่งเงินก้อนนี้นี่ละที่เราจะนำมาเป็นเงินเก็บไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ”

ลุงมานะวางแผนทุกอย่างด้วยความรัดกุม รอบคอบ ทำให้จัดการหนี้สินทั้งหมดได้ก่อนครบระยะเวลาที่กำหนดร่วมปี ส่วนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็ไม่เคยไปกู้มาใช้ล่วงหน้า ทำให้เมื่อเกษียณจากการทำงานแล้วจึงได้รับเงินส่วนนี้เต็มจำนวน ชีวิตหลังเกษียณของเขาจึงเป็นชีวิตที่สุขสบาย โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกัน บางคนมีปัญหาสุขภาพ บางคนติดเหล้า บางคนยังต้องเช่าบ้านอยู่ และบางคนยังเต็มไปด้วยหนี้สิน

“ชีวิตหลังเกษียณของเราทุกวันนี้มีความสุขมาก โรคภัยก็ไม่มี หนี้สินก็ไม่มี ครอบครัวอบอุ่น ลูกๆ ก็โตแล้ว อีกอย่างที่ดีมากๆ เลยคือเรายังทำงานได้ ทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปรบกวนเงินเก็บที่มีอยู่ ถ้าถามว่าเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เราปลดหนี้ได้สำเร็จและมีชีวิตที่เราพึงพอใจในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะเรามองอนาคตแล้วก็รู้จักวางแผนที่จะจัดการกับมัน

“ไม่มีใครอยากเป็นหนี้หรอก เพียงแต่เมื่อมีแล้วเราจะจัดการกับมันแบบไหนมากกว่า หนี้สินถ้าจำเป็นต้องมีก็มีได้ แต่ถ้าเราไม่จัดการกับมัน วันหนึ่งมันจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาจัดการเรา”

Credits

Authors

  • ปองธรรม สุทธิสาคร

    Author & Photographerเป็นคนเขียนหนังสือ ที่หลงใหลในวรรณกรรมน้อยกว่ากีฬา และภรรยาของตนเอง ยามว่างหากไม่ใช้เวลาไปกับการนั่งคุยกับคน ก็มักหมดเวลาไปกับการนั่งดูบาส ดูบอล และละครน้ำเน่า นักเขียนวัยหลักสี่คนนี้ยืนยันว่าตนเองคือนักอุทิศเวลาให้กับความขี้เกียจ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นชีวิตที่ขี้เกียจได้

  • บุญทวีกาญน์ แอ่นปัญญา

    Cameramanเดินให้ช้าลง ใช้เวลามองความสวยงามข้างทาง

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ