“โลกหลังเกษียณของลุงกับป้าเปลี่ยนไปเพราะ ลักกี้ กับออร่า ลูกสาวคนเล็กของบ้าน ทั้งคู่ไม่ได้เป็นแค่สัตว์เลี้ยง สำหรับลุงกับป้าแต่เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ที่มาเติมเต็มรอยยิ้ม ความสุขทางกายและใจให้พองฟู ไปพร้อมๆ กัน”
มนุษย์ต่างวัยขอนำเสนอเรื่องราวความรักอันแสนอบอุ่นของคุณลุงดำรงศักดิ์ อภิศุภะโชค (76 ปี) และ คุณป้าสุวรรณา อภิศุภะโชค (64 ปี ) กับเจ้าลักกี้ สุนัขตัวแรกที่ผูกพันกันมากว่า 14 ปี และเจ้าออร่าสมาชิกตัวล่าสุด ที่แสบสุดๆ ของบ้านกับเรื่องราวที่มีทั้งรอยยิ้ม คราบน้ำตา ความผูกพันของลูกๆ สี่ขากับคุณพ่อคุณแม่วัยเกษียณ
สุนัขตัวแรกในชีวิตคือ “ลักกี้” สุนัขพันธุ์ไทย ที่เก็บมาจากข้างทาง
คุณลุงดำรงศักดิ์ เล่าถึงการเริ่มต้นเลี้ยงน้องหมาว่า สมัยก่อนครอบครัวไม่เคยเลี้ยงหมามาก่อนและไม่เคยเลี้ยงสัตว์อะไรเลย เพราะหน้าที่การงานที่ต้องทำธุรกิจและเดินทางบ่อย จนกระทั่งอายุ 60 ปี หลังจากเกษียณตัวเองจากการทำงาน ก็เริ่มปรึกษากับคุณป้าว่าอยากมีหมาสักตัวเอาไว้เฝ้าบ้าน ตอนนั้นไม่คิดว่าจะรักจะผูกพันหรือเป็นทาสหมาอะไร คิดตามสไตล์คนเคยอยู่บ้านสวนว่ามีหมาสักตัวอยู่เป็นเพื่อนเฝ้าบ้านคงดี
“ระหว่างที่ตัดสินใจว่าจะเลี้ยงหมาพันธุ์อะไร ก็เป็นจังหวะที่คุณลุงได้ไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับ คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง และคิดว่าจริงๆ หมาไทยพันธุ์ทางก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเราจะได้ช่วยลดปัญหาหมาจรจัดด้วย”
ระหว่างเดินทางไปเที่ยวที่ฉะเชิงเทรา คุณลุงก็เห็นลูกหมาที่แม่พึ่งคลอดทิ้งไว้ เลยตัดสินใจรับมาเลี้ยงดูและตั้งชื่อให้ว่า “เจ้าลักกี้”
ด้วยความน่ารักและแสนรู้เพียงระยะเวลาไม่นานเจ้าลักกี้ก็ขโมยหัวใจคุณลุงกับคุณป้าไปได้แบบไม่ยาก จากหมาที่ตั้งใจจะนำมาเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็กลายมาเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว ที่ไม่ว่าคุณลุงคุณป้าจะไปไหน เจ้าลักกี้ก็ต้องไปด้วยทุกที่จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
“อันที่จริงเกิดมาจนอายุ 60 ปี ลุงก็พึ่งรู้ว่าการเป็นทาสหมา รักหมาเหมือนลูกมันเป็นอย่างไร ”
บทบาทครูฝึกสุนัขที่เริ่มต้นในวัยเกษียณ จากแรงบันดาลใจของลักกี้
คุณลุง เล่าต่อว่ามีอยู่วันหนึ่งศูนย์ K 9 ศูนย์ฝึกสุขนักตำรวจมีข่าวประกาศให้คนทั่วไปสามารถพาสุนัขมาฝึกเพื่อช่วยค้นหายาเสพติดได้ ตอนนั้นลุงก็รู้สึกว่าได้รับแรงบันดาลใจอยากให้ลักกี้ได้ทำบุญ บวกกับเป็นคนเกษียณก็เริ่มว่าง การที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่นไปพร้อมๆ กับลูกรักตัวโปรด มีหรือที่คนเป็นพ่อจะไม่อยากทำ
“ในตอนนั้นลักกี้แทบจะเป็นหมาไทยตัวเดียวที่มาฝึก ซึ่งครูฝึกก็บอกว่า หมาไทยฝึกยากนะลุง ลุงจะไหวเหรอ ? ลุงก็ยืนยันที่จะสู้ต่อ เรียกได้ว่ามือใหม่ทั้งคน มือใหม่ทั้งหมา”
แม้ลักกี้จะเป็นหมาไทยธรรมดาทั่วๆ ไปแต่ลุงรู้สึกว่าเขามีความสามารถไม่ต่างอะไรจากหมาพันธุ์ พากันไปฝึกอยู่หลายครั้ง ในตอนแรกเขาก็เรียนรู้ช้าจริงๆ คุณลุงพยายามที่จะหาครูช่วยสอนเพราะอยากฝึกลักกี้ให้ทำอะไรได้แต่หลายคนก็ปฏิเสธเพราะว่าไม่อยากฝึกหมาไทย เพราะฝึกยากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ
“แต่ลุงก็ไม่ยอมแพ้ พยายามทุกวิถีทางไม่มีใครฝึกให้ก็จะเอามาฝึกเอง เลยเริ่มเปิดหาความรู้โดยดูจากยูทูปที่เขาฝึกหมาสายพันธุ์ต่างประเทศ เริ่มฝึกให้ลักกี้ทีละนิด ฝึกด้วยความรัก และเลี้ยงด้วยความรัก จนทำให้ลักกี้กลายเป็นน้องหมามหัศจรรย์ ทำได้หลายอย่าง ทั้งเล่นสเก็ตบอร์ด ปั่นจักรยาน เดินไต่บนเส้นลวด กระโดดลอดห่วง จนคิวเดินสายโชว์ความสามารถยาวต่อเนื่องกัน เป็นดาราดังเบอร์ 1 ของวงการหมาที่กวาดรางวัลมานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากความเชื่อมั่นที่ลุงมีต่อลักกี้ และความรักของเจ้าลักกี้มีต่อลุง”
“ลักกี้กลายเป็นคนพาลุงไปเที่ยวทั่วประเทศไทยเพราะ ในแต่ละสัปดาห์ลุงกับป้าจะขับรถไปกับเจ้าลักกี้เพื่อไปโชว์ความสามารถตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทำให้เราได้เดินทางท่องเที่ยว เปิดหูเปิดตาไปด้วย”
คุณลุงเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและบอกว่า โมเมนต์ที่ได้ขับรถ มองวิวสองข้างหน้า โดยมีคุณป้ากับลูกลักกี้นั่งมาด้วย มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุด
“เขาทำให้เราแข็งแรงทั้งกายและใจ เพราะเราอยากดูแลเขาให้ดี เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย การมีลักกี้จึงเป็นโชคดี ลักกี้จริงๆ ของลุงกับป้า”
โลกทั้งใบที่เคยเป็นความสุข..กำลังจะหายไป
“วันที่เสียใจที่สุด และวันที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น แม้จะรู้ว่าสักวันต้องเกิดก็มาถึง คือวันที่ลักกี้จากไปแบบไม่มีวันกลับ” คุณป้าเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า ลักกี้เป็นหมาสุขภาพดี เราดูแลกันอย่างดีมาตลอด แต่เพราะสังขารก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง วันหนึ่งลักกี้ก็เริ่มไม่ร่าเริง ขาที่เคยไถสเก็ตเล่นกันก็เริ่มยกขาไม่ขึ้น คนเป็นพ่อเป็นแม่เริ่มจับสังเกตุถึงความผิดปกติได้ก็รีบพาเขาไปหาหมอ
“แต่เหมือนโชคชะตาไม่เข้าข้าง ลักกี้ป่วยหนักถึงขั้นต้องเปลี่ยนถ่ายเลือด ลุงกับป้าพากันขับรถไปถึงอยุธยาเพื่อหาซื้อเลือด ตอนนั้นเลือดถุงละเป็นหมื่นเราก็ไม่เสียดายเงิน สู้รักษาหมดกันไปหลายแสน ภาพตอนนั้นก็คือลุงป้าสองคนอุ้มหมาไปรักษา อุ้มไปก็ร้องไห้ไปให้หมอช่วยรักษาชีวิตเขาให้ได้ หมดค่ารักษาไปหลายแสนก็ยอม แต่ในที่สุดร่างกายของลักกี้บอบช้ำมาก เขาก็จากไปโดยที่ยังไม่ทันร่ำลา”
“ทุกวันนี้ก็ยังเล่าและพูดถึงลักกี้ไม่ได้มาก เพราะพูดทีไรน้ำตามันก็ซึม เราโทษตัวเองตลอดว่าเราเลี้ยงเขาไม่ดี ถ้าวันนั้นเราเช็กว่าเขาต้องไปหาหมอ หรือถ่ายพยาธิ ตรวจสุขภาพประจำปี ลักกี้อาจจะยังไม่ตาย” คุณป้าน้ำตาคลอและเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ
คุณลุงเล่าต่อว่า วันที่ลักกี้เสียลุงกับป้าจัดงานศพทุกอย่างให้เหมือนคน จัดสวดศพ เผา ทุกวันนี้ก็ยังเก็บอัฐิของลักกี้ไว้ในห้องพระ ก่อนนอนหรือจะออกไปไหนก็ยังมาคุยกับลักกี้ทุกวัน
ออโรร่า = แสงสว่างของชีวิต
เมื่อลูกสาวเริ่มเป็นห่วงว่าพ่อกับแม่กำลังจมอยู่กับความเศร้ามากจนเกินไป จึงอยากจะพาให้ทั้งคู่ก้าวออกมาจากความเศร้าโศกสูญเสียและเลิกโทษตัวเอง เธอจึงก็ตัดสินใจชวนพ่อกับแม่เลี้ยงน้องหมาอีกครั้ง ซี่งตอนแรกพ่อกับแม่ก็ปฏิเสธทุกครั้งเพราะไม่อยากจะเสียใจอีก และอยากให้ลักกี้เป็นหมาตัวเดียวที่เลี้ยง แต่สุดท้ายก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้พ่อกับแม่ยอมเปิดใจใหม่อีกครั้ง
คุณลุงเล่าต่อว่า สายพันธุ์ที่เลือกก็คือ Jack Russel หมาพันธุ์เล็กเจ้าของฉายาปีศาจน้อย ที่หลายคนมองว่าไม่ค่อยเหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะมันซนมาก และซนมากจริงๆ แต่คุณลุงก็อยากลองเลี้ยงเพราะเป็นสายพันธุ์ที่เวลาลักกี้ไปประกวดก็จะเจอเวทีเดียวกันตลอด มันทำให้ได้นึกถึงลักกี้ด้วย
จากนั้นออร่า ก็เข้ามาเป็นแสงสว่างในชีวิตจริงๆ ด้วยความที่ซนจนน่าปวดหัว วิ่งเล่นทั้งวัน มวลความสุขก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนช่วยเจือจาง บำบัดความเศร้าจากการสูญเสียลักกี้ไปได้บ้าง
“ทุกวันนี้ลุงกับป้าก็ค่อยๆ ฝึกออร่า เหมือนที่เคยฝึกลักกี้ ตอนนี้เขายังเด็กอาจจะทำไม่ได้ดีมาก แต่เราก็มีความสุขที่ได้สอนเขา ตอนนี้เริ่มทำได้หลายอย่างทั้งไต่ถัง เล่นสเก็ตบอร์ด ล่าสุดสามารถนับเลขได้แล้ว”
“ลุงมองว่าสำหรับลักกี้และออร่า ไม่ได้เข้ามาแค่สร้างกิจกรรมในชีวิตให้คนแก่สองคนเท่านั้น แต่ความรักของเขามันเป็นพลังขับเคลื่อนให้เราแข็งแรง แค่เราได้ฝึกเขา ได้เล่นกับเขาก็ทำให้ความดัน โรคภัยต่างๆ ไม่เคยมาเยือน
ป้ากับลุงได้รางวัลผู้สูงอายุสุขภาพดีตลอด เหมือนกับที่ลักกี้ไปประกวดและได้รางวัลสุนัขสุขภาพดี
“จริงๆ ลุงกับป้าพูดได้เต็มปากเลยนะว่า ชีวิตวัยเกษียณนอกจากลูกสาวและหลาน ก็มีลักกี้กับออร่านี้แหละที่เป็นความรักที่มีค่ามากสำหรับพวกเรา ถ้าผู้สูงอายุคนไหนรู้สึกเหงาให้ลองเปิดใจเอาน้องหมาไปเลี้ยงคนละตัว แล้วจะรู้ว่าชีวิตท่านจะเปลี่ยนไปอย่างไร เหมือนกับที่เราสองคนพิสูจน์มาแล้ว ”