ราว 3 ปีที่แล้ว ก่อนโควิด-19 จะแเบ่งบานเต็มเมือง ร้านผัดไทยของ ปภาขวัญ สุขมา มีอันต้องปิดตัวลง เมื่อลูกชายคนเดียวซึ่งเป็นผู้ช่วยในร้านอยากไปทำงานอย่างอื่นตามสายงานที่ร่ำเรียนมา
วินาทีนั้นความสุขในชีวิตของ ‘ทอง’- ชลาวุธ วิทยพูม ยังไม่มีแม่รวมอยู่ด้วย จะว่าไปตลอดชีวิตที่ผ่านมาในอดีตแทบไม่มีวันไหนที่เขาจะคิดถึงแม่เป็นคนแรกอยู่แล้ว
ชีวิตของชายหนุ่มวัย 27 ทำผิดกับผู้เป็นแม่ไว้มาก เขาเคยเถียง เคยว่า เคยถึงขนาดด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งนั่นเป็นชีวิตที่ทองยืนยันว่าจะไม่กลับไปเป็นเช่นนั้นอีก
มันคือชีวิตผิดพลาดเหลวแหลกที่มียาเสพติดเป็นอันดับ 1 และผู้ให้กำเนิดเป็นอันดับสุดท้าย
ชีวิตในหุบเหว
“เราเริ่มเกเรจริงๆ ตอนขึ้นชั้น ม. 2 เราอยากแตกต่างและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนที่เกเร ซึ่งวิธีการที่จะทำให้เป็นที่ยอมรับและได้มันมาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่การนั่งอ่านหนังสือ เรียนพิเศษ หรือสอบได้ที่ 1 แน่ๆ แต่เป็นการโดดเรียน ดูดบุหรี่ แล้วก็ทำอะไรก็ได้ที่ผิดระเบียบโรงเรียน นั่นเป็นประตูความผิดพลาดบานแรกที่ผมผลักออกไป”
‘ทอง’-ชลาวุธ วิทยพูม ชายหนุ่มวัย 27 ปี บอกเล่าถึงเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผลอยู่ไม่น้อย
ครอบครัวของทองมีด้วยกันทั้งหมด 3 คน นอกจากเขาก็ยังมี ปภาขวัญ สุขมา คุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 62 ขณะที่พี่สาวนั้นอายุมากกว่าทองถึง 12 ปี เปรียบได้กับผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง ทองบอกว่า เมื่อครั้งสมัยประถมก็จัดเป็นเด็กที่เรียบร้อย เรียนดีขึ้น ม. 1 ก็ยังได้อยู่ห้องคิง แต่ด้วยความอยากโดดเด่นและได้รับการยอมรับในทางที่ผิด ผลการเรียนก็ค่อยๆ ตกต่ำลง พอขึ้น ม. 2 ก็ย้ายไปสู่ห้องลำดับท้ายๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มเพื่อนที่นิยมชมชอบในยาเสพติดมากกว่าการเรียนหนังสือ
เมื่อบานประตูแห่งความผิดถูกเปิดออก และทองในวัย 14-15 ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าต้องการจะปิดมันลง เด็กหนุ่มจึงเริ่มถลำลึกลงไปมากกว่าเดิม
“วันหนึ่งเพื่อนมาหาที่ห้องแล้วเอายาบ้าออกมาให้ลอง พอลองครั้งแรกก็รู้สึกว่ามันเพลินดี จากนั้นก็เริ่มติด ดูดทุกวัน แม่ให้เงินมาเรียนก็เอามาดูดยาบ้าหมด บางทีก็หารกันกับเพื่อนซื้อมาดูด เกรดเฉลี่ยตอนนั้นนี่ไม่ต้องพูดถึง รวมแล้วยังไม่ถึง 1.00 ด้วยซ้ำ”
“จากเริ่มเสพยา ต่อมาก็เริ่มทะเลาะวิวาท เคยขึ้นศาลจากคดีเสพกัญชา เรียกว่ากับแม่นี่เราเป็นลูกที่ไม่ดีเลย หาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้”
ผลจากการเสพยาทำให้เด็กหนุ่มกินนอนไม่เป็นเวลา ร่างกายผ่ายผอม สติไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีการควบคุมอารมณ์ ขาดการยับยั้งชั่งใจ และเคยถึงขนาดด่าบุพการีผู้ให้กำเนิดด้วยถ้อยคำหยาบคาย
“ความคิดและอารมณ์ไม่ปกติ ใครมองหน้าเราไม่ได้ เราคิดแต่ว่าเขาจะหาเรื่องอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็จะหงุดหงิดง่าย ใครทำอะไรไม่ถูกใจ พูดจาไม่ถูกหู หรือกดดันเรา เราจะด่าทันที หนักสุดเลยเราเคยถึงขนาดด่าแม่ด้วยคำพูดหยาบคาย ด่าเหมือนเขาไม่ใช่คนรู้จัก ไม่ใช่คนให้กำเนิด แต่พออารมณ์เย็นลงคิดได้ก็ไปขอโทษ แต่บาปมันก็ติดตัวเราไปแล้ว”
ตั้งแต่ ม. 2 ยันถึงเรียนจบมหาวิทยาลัย ทองบอกว่าไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่เคยเสพยา ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา เขาเสพยาทุกวัน จนรู้สึกว่ามันเป็นกิจกรรมธรรมดา และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต มากกว่าที่จะรู้สึกว่าตนเองนั้นติดยาจริงๆ
“ช่วงที่ติดหนักมากๆ สิ่งเดียวที่เราคิดจะเปลี่ยนไม่ใช่นิสัยหรือพฤติกรรม แต่เป็นการเปลี่ยนตัวยาเพื่อที่จะได้มีอะไรใหม่ๆ มาลองเสพ ถ้าถามความรู้สึกตอนนั้น เราไม่ได้รู้สึกว่าเราติดยานะ แต่รู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องทำ เหมือนกับอาบน้ำ แปรงฟันที่ต้องทำทุกวัน ว่างหรือเบื่อเมื่อไหร่ก็ไปซื้อมาเสพทันที พอตอนหลังเรามาเข้าสู่กระบวนการเลิกยาจริงๆ ถึงได้รู้ตัวว่าจริงๆ เราติดยามาตลอด”
จุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้ทองอยากเลิกยาแล้วปีนขึ้นมาจากหุบเหว เกิดขึ้นในตอนที่เขาตั้งใจจะบวชหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย โดยได้มีการเตรียมตัวก่อนบวช รวมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมที่บ้านคุณแม่ ดร. สิริ กรินชัย จังหวัดนครราชสีมา
“ก่อนบวชเราต้องไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมก่อนเป็นเวลา 7 วัน ช่วง 3 วันแรกเขาจะให้เรานั่งสมาธิ ฝึกพิจารณาลมหายใจ วันต่อมาก็มีการให้เราคิดถึงบุญคุณของแม่ที่เลี้ยงเรามา พอเราคิดถึงสิ่งที่เราทำกับแม่ เราก็ร้องไห้ออกมา เพราะมันมีแต่เรื่องไม่ดี ทั้งด่าว่าแม่ ทั้งติดยา ทำให้แม่ทุกข์ไม่สบายใจ กลับกัน ส่วนที่แม่ทำกับเรามีแต่สิ่งดีๆ คอยให้คำปรึกษา อยู่ข้างๆ ในวันที่เราแย่ ไม่เคยต่อว่าหรือซ้ำเติมอะไรเราเลย ซึ่งการที่จะทำให้แม่มีความสุขที่สุดคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเลิกยาให้ได้ ช่วงเวลา 7 วันตรงนั้น จึงไม่ใช่แค่การไปปฏิบัติธรรมเพื่อเตรียมตัวบวช แต่เราตัดสินใจที่จะเลิกยาแล้วก็หักดิบมันในทันที”
การเสพยาทุกวันติดต่อกันเป็นเวลาสิบกว่าปี แล้วอยู่ๆ จะมาหักดิบกลายเป็นคนใหม่ได้ทันทีภายในเวลา 7 วัน ดูเหมือนจะง่ายไปหน่อย จริงอยู่ที่หลังผ่านช่วงเวลาในการเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมทองมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเลิกยาอย่างจริงจัง หากแต่นั่นก็เป็นแค่ความรู้สึกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
หลังจากนี้ต่างหากที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่าเขาจะเป็นเพียงทองปลอม ทองเก๊ ที่หาคุณค่าไม่ได้ หรือจริงๆ แล้วนี่คือทองแท้
ที่ไม่จำเป็นต้องกลัวไฟ
ติดได้ก็เลิกได้
แม้จิตใจจะมีความคิดอยากเลิกยา แต่เมื่อเอาเข้าจริงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกลับมาจากการปฏิบัติธรรม
“พอเราตัดสินใจหักดิบมันกลายเป็นเราเห็นภาพหลอน บางครั้งเราเห็นหน้าปีศาจลอยขึ้นมาจากพื้น เห็นนรก เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่ดี แล้วเราเองก็ห้ามความคิดนี้ไม่ได้ พอมันหลอนมากๆ ตกกลางคืนเราก็นอนไม่หลับ ออกอาการเพ้อและรั่วเต็มที่ สุดท้ายพออาการเริ่มสงบลง เรารู้สึกว่าเราไม่ปกติแล้ว ก็เลยบอกแม่กับพี่สาว ทั้งแม่ทั้งพี่สาวก็ไม่ได้ซ้ำเติมอะไรเรา เขาบอกแค่ว่าไม่เป็นไร เวลาต่อมาเขาก็พาเราไปรักษาและบำบัดที่โรงพยาบาลจิตเวช”
หมอที่โรงพยาบาลจิตเวชสรุปได้ว่าอาการของทองนั้นเกิดจากการใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมานานหลายปีโดยหมอได้ให้การรักษาด้วยการให้ยาไปกิน เป็นยาที่จะทำให้เขาหลับได้เต็มอิ่มมากขึ้น และค่อยๆ ควบคุมให้อาการหลอนที่เคยมีนั้นกลับสู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกันก็ขอให้เขาระงับเรื่องบวชเอาไว้ก่อน
“หมอบอกว่าถ้ากินยาตามที่หมอสั่งและไม่กลับไปใช้ยาเสพติดอีก ผ่านไปแค่ 1 เดือนก็ดีขึ้นแล้ว ถ้าผ่านได้ 3 เดือนก็เป็นคนใหม่เลย แต่หากกลับไปเสพยาอีกทุกอย่างจะกลับมานับหนึ่งใหม่หมด แล้วหมอก็บอกอีกว่าอย่าเพิ่งไปบวช ให้บำบัดให้หายดีเสียก่อน”
ชายหนุ่มรับปากผู้เป็นหมอทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องที่จะเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เนื่องจากตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะบวชให้ได้ โดยทองได้นำยาที่หมอให้ไปติดตัวไปด้วย ก่อนเดินทางไปจำวัดที่วัดป่าในแถบภาคอีสาน อย่างไรก็ตามแม้จะอยู่ในผ้าเหลือง และกินยาที่หมอให้ในระหว่างบวช แต่พระทองก็ยังเห็นภาพที่ไม่อยากเห็นอยู่ดี
“ตอนบวชบางวันเรายังเห็นภาพหลอนอยู่ พอเห็นหรือรู้สึกว่าอาการหนักมากๆ เราก็เดินไปหาพระอาจารย์แล้วเล่าความจริงให้ท่านฟังเลย พร้อมกับขอร้องให้ท่านช่วย ซึ่งพระอาจารย์ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดหรือเครียดมาก แล้วก็ให้หนังสือธรรมะมาอ่าน กำชับให้เราอ่านทุกวัน การอ่านทำให้เรามีสมาธิ ไม่คิดฟุ้งซ่าน เมื่อไม่คิดฟุ้งซ่านจิตก็สงบเย็นลง สุดท้ายเมื่อสึกออกมาเราก็เลิกยาได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ แล้วก็ไม่เคยหวนกลับไปเสพมันอีก”
แน่นอนว่าการที่ทองเลิกยาได้ คงไม่มีใครดีใจเกินไปกว่า ปภาขวัญ สุขมา ผู้เป็นแม่ นี่คือของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิต
“ตอนที่รู้ว่าลูกตัวเองติดยานี่มันทุกข์และเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เราพยายามสวดมนต์ ภาวนา อธิษฐานขอให้เขาเลิกและหลุดพ้นจากยาเสพติดให้ได้ พอมาวันนี้เขาเลิกได้จริงๆ เรานี่ดีใจมาก มันคือของขวัญที่ดีที่สุด ยิ่งกว่าได้ทรัพย์สมบัติอีก”
“ต่อให้เราได้เงิน ได้รถ ได้บ้าน แต่มันก็ไม่มีค่าเท่ากับการที่เราได้ลูกชายของตัวเองกลับคืนมา”
ผัดไทยท่านยาย
หลังจากหันหลังให้ยาเสพติด ทองก็ร่อนไปสมัครงานไปตามบริษัทต่างๆ ก่อนจะได้งานเป็นช่างตัดต่อในบริษัททำสื่อแห่งหนึ่ง แต่ทำไปได้แค่ปีเดียวก็ตัดสินใจลาออก
“ในระหว่างที่ทำงานเป็นช่างตัดต่อ เราก็ทำอาชีพเสริมด้วยการเป็นช่างสักควบคู่กันไปด้วย ต่อมาเราเริ่มเหนื่อยกับงานประจำ ขณะเดียวกันดูแล้วงานช่างสักทำรายได้ได้ดีและอิสระกว่า ก็เลยออกมาทำงานเป็นช่างสักสักเต็มตัว”
ทว่าในขณะที่กำลังไปได้ดี การระบาดของโรคโควิด – 19 ก็ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง ช่างสักถือเป็นอีกอาชีพที่โดนผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเป็นงานที่ช่างและลูกค้าต้องอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ทองจึงเปลี่ยนทาง หันมาทำคลิปสอนการสักเบื้องต้น แล้วก็ขายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการสักส่งทางไปรษณีย์แทน
เมื่อไม่ต้องออกไปทำงานทำให้ทองมีเวลาอยู่บ้านกับแม่มากขึ้น ได้ดูทีวี กินข้าว พูดคุย และใช้ชีวิตด้วยกัน กระทั่งวันหนึ่งแม่ก็เกิดความคิดอยากกลับมาขายผัดไทยอีกครั้ง
“แม่เขาดูข่าวแล้วเห็นคนขายหอยนางรมบนคอนโดในช่วงโควิด แม่ก็เลยคิดว่าอยากจะขายผัดไทยบ้างจะได้มีรายได้ ดีกว่าอยู่เฉยๆ ถ้าขายไม่ได้ ก็ทำให้ลูกกิน เราก็เลยสมัครแอปพลิเคชั่นพวก Robinhood, Lineman, Grab ฯลฯ ให้แม่แล้วก็มานั่งลุ้นกันว่าจะมีออร์เดอร์เข้ามาไหม วันหนึ่งมีเข้ามา 2-3 เจ้า เราก็ดีใจแล้ว มันกลายเป็นความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับแม่”
แต่แล้ววันหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง เมื่อทองได้ไปออกรายการ ‘Who is my chef โต๊ะนี้มีจอง ’ ทางช่อง Workpoint TV แล้วเอาเมนูผัดไทยปลาสลิดแดดเดียวไปนำเสนอ ซึ่งหลังจากได้ออกอากาศไป จากที่ขายได้วันละ 2-3 ราย กลายเป็นว่ามี ออร์เดอร์เข้ามาแบบไม่ขาดสาย ทำกันแทบไม่ทัน
“จากที่ทำเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไร กลายเป็นทุกวันนี้มีออร์เดอร์มาแทบไม่ได้หยุด โดยนอกจากผัดไทยปลาสลิดแดดเดียวที่เป็นเมนูเด่นแล้ว เรายังมีผัดไทยกุ้งสด ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ ผัดไทยหมูหมัก ผัดไทยไก่หมัก ผัดไทยกุ้งแห้งโบราณ ยําไข่ดาวซอสมะขาม เกี๊ยวห่อกล้วยซอสมะขาม แล้วก็อีกหลายๆ เมนู”
เมื่อการระบาดของโควิด- 19 เริ่มเบาลง ทองจึงใช้พื้นที่หน้าบ้านทำเป็นร้านเล็กๆ ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า ’ร้านผัดไทยท่านยาย by เชฟทอง’ สาเหตุที่ใช้ชื่อดังกล่าวก็เนื่องมาจากว่าลูกของพี่สาวมักจะเรียกแม่ของทองว่าท่านยายอยู่บ่อยๆ ส่วนที่ต้องมี by เชฟทองต่อท้ายก็เนื่องมาจากผัดไทยทุกจานในร้านจะมาจากฝีมือของทองทั้งหมด
เชฟหนุ่มวัย 27 บอกว่าเคล็ดลับความอร่อยของผัดไทยและแทบทุกเมนูในร้านนั้นอยู่ที่ซอสมะขามรสเด็ดของแม่ที่ลงทุนลงแรงเคี่ยวนานกว่า 6 ชั่วโมง ขณะที่ผัดไทยปลาสลิดแดดเดียวที่ถือเป็นเมนูขึ้นชื่อของร้านนั้น นอกจากซอสมะขามแล้ว ทีเด็ดยังอยู่ที่ขั้นตอนการทำ โดยเขาจะนำปลาสลิดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทอดให้เหลืองกรอบ ตักขึ้นมาพักไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยทำผัดไทยด้วยการใส่หอมลงรวนในน้ำมันก่อน เพื่อให้ในน้ำมันมีกลิ่นของหอมเข้าไป จากนั้นใส่เต้าหู้ ไชโป๊วหวาน แล้วก็กุ้งแห้งลงไป ให้รสเค็มและหวานตัดกัน เมื่อนำเส้นลง ความหอมของตัวน้ำมันก็เข้าไปในเส้น เมื่อตามด้วยซอสมะขามและปลาสลิดทอดกรอบชิ้นเล็กคลุกเคล้าลงไป แล้วนำมาห่อไข่ โปะหน้าด้วยปลาสลิดทอดชิ้นใหญ่ด้านบน ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จพิธี
“ต้องบอกก่อนว่าผัดไทยของเราค่อนข้างจะใช้เวลาในการทำพอสมควร เนื่องจากเราทำใหม่หมดทุกจาน ทุกขั้นตอนไม่มีทำเตรียมไว้ก่อน อาหารทุกอย่างเราว่ามันมีกระบวนการ ขั้นตอน และรายละเอียดของมัน ด้วยความที่เราใส่ใจทำ อยากให้ลูกค้าได้กินของดีที่สุด เราก็อยากจะมีพิถีพิถันกับมัน”
“เราเข้าใจเลยนะว่าตอนที่เปิดร้านผัดไทยรอบแรก ทำไมแม่ถึงให้เราเป็นแค่ผู้ช่วย ไม่ยอมให้เราทำเองเสียที เพราะว่าเราใจร้อน ไม่ละเอียด คิดแต่ว่ารีบทำให้เสร็จๆ วันนี้พอเรามาอยู่หน้ากระทะถึงรู้ว่าที่แม่ไม่ให้เราเป็นคนลงมือทำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”
ทุกวันนี้แม้จะเหนื่อยจากการทำอาหารอยู่หน้ากระทะทั้งวัน แต่ก็เป็นการเหนื่อยที่รู้สึกมีความสุข ยิ่งเวลาได้รับคำชมจากลูกค้า ได้เห็นลูกค้ากินผัดไทยจนเกลี้ยงจาน มันเป็นความอิ่มเอมใจที่คนเป็นเชฟอย่างทองไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ยิ่งเมื่อหันกลับมามองหน้าแม่แล้วเห็นรอยยิ้มอยู่บนนั้นด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เขารับรู้ได้ว่าความสุขที่แท้จริงมีหน้าตาเป็นเช่นไร
รอยยิ้มของครอบครัว
“เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความสุขจริงๆ มันหาง่ายมากเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ไม่ต้องเรียกร้องหาการยอมรับจากใคร ไม่ต้องไปหาซื้อยามาเสพ ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง แค่เราหันไปมองหน้าแม่แล้วเห็นรอยยิ้มของเขา ทำให้เขายิ้มได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ที่สำคัญ นี่เป็นความสุขที่เราสามารถเห็นได้ทุกวัน”
ชายหนุ่มวัย 27 ปี ตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อมีคนถามว่า ความสุขในปัจจุบันของเขาคืออะไร ? รอยยิ้มของผู้เป็นแม่นับเป็นความสุขอย่างที่สุดที่คนอย่างเขากว่าจะได้สัมผัสก็ในตอนที่ชีวิตผ่านคืนวันที่เลวร้ายมาได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทองได้เห็นทุกวันนี้มันไม่ได้มีเพียงแค่รอยยิ้มของแม่แค่คนเดียวอีกแล้ว หากแต่เป็นรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว
ครอบครัวที่ไม่ได้มีแค่แม่ ตัวเขา และพี่สาวอีกต่อไป
“ผมคบกับแฟนมา 7 ปี และเรากำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า งานแต่งของเราเป็นงานแต่งเล็กๆ สบายๆ ไม่ได้มีแขกเหรื่อมากมาย แต่อบอุ่น”
ทุกวันนี้ร้านผัดไทยท่านยาย by เชฟทอง ไม่ได้มีสมาชิกในร้านแค่ทองและแม่ของเขาเท่านั้น หากแต่ยังมีแฟนสาว ว่าที่พ่อตา ว่าที่แม่ยาย มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่านี่คือร้านของครอบครัวโดยแท้
“เราไม่เคยมองสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่ทุกวันนี้ว่าเป็นงานเลย แต่เรามองเป็นความสนุกและความสุขที่ได้ทำร่วมกับคนในครอบครัว หน้าที่ของเราคืออยู่หน้ากระทะคอยทำผัดไทย ส่วนแม่ก็เคี่ยวซอสมะขามและรวนกุ้ง ขณะที่พ่อของแฟนจะรับหน้าที่ทำอาหารจานด่วนในกรณีที่ลูกค้าบางคนอาจจะไม่อยากกิ a นผัดไทยที่ใช้เวลานาน ก็ได้แก่พวกอาหารตามสั่ง ผัดกระเพรา ข้าวผัดต่างๆ รวมทั้งห่อหมกซึ่งพ่อเขาเคยทำขายมาอยู่ก่อนแล้ว แม่ของแฟนจะคอยล้างผักแล้วก็จัดการเรื่องของวัตถุดิบทั้งหมดในร้าน ส่วนเรื่องบัญชีรายรับรายจ่ายจะเป็นหน้าที่ของแฟนเป็นคนจัดการ”
ทองบอกว่า หากไม่นับวันจันทร์ซึ่งเป็นวันหยุด ร้านของเขานั้นจะเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม สิ่งที่เขาเห็นอยู่เสมอในตลอด 6 วันต่อสัปดาห์ ก็คือทุกคนต่างทำงานด้วยความสนุกและมีแต่รอยยิ้ม
“เชื่อไหมว่าบางวันถึงเวลาปิดร้านแล้วเราทุกคนยังอยากจะขายต่ออยู่เลย มันเหมือนกับว่าทุกคนมีความสุขที่ได้ช่วยกันทำ มีความสุขที่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งเราว่านี่คือกำไรสูงสุดที่ได้รับจากการเปิดร้านนี้ขึ้นมา”
“สำหรับเรา กำไรสูงสุดไม่ใช่เรื่องเงินทอง แต่คือรอยยิ้มและความสุขของทุกคนในครอบครัว”