ความสุขของติ่งวัยเกษียณ ‘ชัญญา ชโยภาสกุล’ ติ่ง BNK48

                                                                

ทุกวันนี้หากจะถามถึงวงเกิร์ลกรุ๊ปที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย แน่นอนว่า BNK48 คงเป็นชื่อที่อยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

BNK48 มีโอตะ (แฟนคลับ) มากมายทั่วทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าเกือบทั้งหมดอยู่ในช่วงวัยรุ่นวัยทำงาน คงไม่น่าจะมีโอตะคนไหนที่อยู่ในวัยหลังเกษียณ ยกเว้นก็แต่แม่บ้านคนหนึ่งที่กล้าประกาศตัวเองว่าเธอคือ ‘ติ่ง’ ของ BNK48 แบบเหนียวแน่น และจะเป็นติ่งแบบนี้ไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

        ชัญญา ชโยภาสกุล เป็นติ่ง BNK48 มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวงแรก ๆ ปัจจุบันในวัย 62 ปี บ้านของเธอเต็มไปด้วยของสะสมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายหลายแอ็คชั่นที่อยู่ในโฟโต้บุ้ค ซีดีเพลงทุกอัลบั้ม เข็มกลัด เสื้อ โปสเตอร์ ฯลฯ รวม ๆ แล้วกว่า 1,000 ชิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับ เฌอปราง-กัปตันผู้น่ารักของวง แม่รัตน์จะต้องเสาะหามันมาไว้ในครอบครอง ไม่ว่าจะต้องใช้ความพยายามหรือจ่ายเงินมากแค่ไหนก็ตาม

ครั้งหนึ่งแม่รัตน์เคยออกไปหาซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่สายตาเหลือบไปเห็นรูป Backdrop ของเฌอปรางที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับโทรศัพท์ยี่ห้อหนึ่ง สุดท้ายแทนที่จะสนใจซื้อโทรศัพท์กลับกลายเป็นว่าเธอได้รูป Backdrop น้องเฌอปรางกลับมาแทน หรือเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่มีการผลิตหุ่นของกัปตันสาวแห่ง BNK48 ออกมาจำหน่าย โดยทำออกมาเพียง 999 ตัวเท่านั้น แม่รัตน์ก็เป็น 1 ในไม่กี่คนในประเทศนี้ที่มีหุ่นดังกล่าวอยู่ในครอบครอง

“ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของใครของมัน สำหรับเราหนึ่งในความสุขทุกวันนี้ก็คือการเป็นติ่ง BNK48 นี่แหละ” แม่รัตน์หล่นนิยามแห่งความเป็นติ่งเอาไว้สั้น ๆ

        สำหรับเธอทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มขึ้นเมื่อราว 4 ปีก่อน จากลูกชายทั้งสองคน


ขอขอบคุณภาพจาก แม่รัตน์ชัญญา ชโยภาสกุล
บ่นลูกชายแต่สุดท้ายกลายเป็นติ่ง

4 ปีก่อนในตอนที่มีการออดิชั่นเด็กสาวจากทั่วประเทศเพื่อหาสมาชิก BNK48 รุ่นแรก ลูกชายทั้งสองคนของแม่รัตน์ – ชัญญา ชโยภาสกุล นั่งติดตามการคัดเลือกอยู่หน้าจอทีวี

“ตอนนั้นลูกชายเขาตามอยู่ ส่วนเราไม่ได้สนใจอะไร เห็นแล้วยังบ่นลูกชายเลยว่าตามอะไรไร้สาระ เสียเวลา ตามไปก็เสียเงินเปล่า ยังไง ๆ ก็เข้าไม่ถึงตัวพวกเขาหรอก”

แม่รัตน์เล่าถึงบทแรกเริ่มก่อนจะมาเป็นติ่ง BNK48 พร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ในตอนนั้นเธอคงไม่รู้หรอกว่าอาการที่เธอเป็นในเวลาต่อมาจะหนักกว่าสองลูกชายมากมายนัก

หลังจากบ่นลูกชาย แม่รัตน์ก็ยังไม่ได้มีท่าทีจะสนใจในสิ่งที่อยู่ในจอทีวีแต่อย่างใด กระทั่งสายตาพลันเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มาออดิชั่นในวันนั้น

เด็กสาวคนดังกล่าวมีชื่อว่าเฌอปราง อารีย์กุล

“พอเห็นเฌอปรางแล้วเราสะดุดเลย รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอะไรไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ว่าเห็นแล้วรู้สึกประทับใจ แล้วหลังจากนั้นเราก็เริ่มติดตาม BNK48 โดยเริ่มจากเฌอปรางก่อนเป็นคนแรก ก่อนที่หลังจากนั้นจะเริ่มรู้จักคนอื่น ๆ ตามมาทั้งเจนนิษฐ์ จูเน่ มิวสิค ปัญ ฯลฯ”

จากที่เปิดหัวด้วยการบ่นลูกชายสองคน แม่รัตน์เริ่มแอบดูและเข้าไปนั่งส่องความเคลื่อนไหวของบรรดาสมาชิกในวงด้วยตัวเอง เธอเริ่มเห็นพัฒนาการของน้อง ๆ แต่ละคน โดยเฉพาะคนที่เธอโปรดปรานที่สุดอย่างเฌอปราง

ทุกอย่างค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาในหัวใจของหญิงสูงวัยทีละน้อย ๆ จากความคิดที่ว่าการติดตาม BNK48 เป็นเรื่องเสียเวลาไร้สาระ กลับกลายเป็นว่าเธอมองทุกอย่างในมุมบวก และพร้อมจะสนับสนุนคนที่เธอรักให้เดินไปจนสุดทาง

“สำหรับเรา BNK48 เป็นเหมือนกับโรงเรียนสอนเด็กที่มีความฝัน ทุกคนมีความพยายามที่จะพัฒนา เราได้เห็นความตั้งใจ เห็นพัฒนาการของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม อย่างเฌอปรางซึ่งเป็นคามิ (คนที่ชอบที่สุด) เราเห็นเขาตั้งแต่ยังร้องไม่เป็นเต้นไม่ได้ เราก็มีความรู้สึกอยากจะผลักดันเขาให้ก้าวไปจนสุดทาง”

ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่มีมินิคอนเสิร์ตหรือจัดงานใด ๆ ขึ้น ติ่งอย่างแม่รัตน์จึงไม่พลาดที่จะมีส่วนร่วม โดยแรก ๆ ก็เริ่มจากการไปกับลูกชาย แต่ถ้าวันไหนลูกชายไม่ว่าง แม่รัตน์ก็จัดการฉายเดี่ยวอยู่บ่อยครั้ง

“งานจับมือครั้งแรกลูกชายเขาไปกันสองคน พอครั้งที่สอง เขาก็เลยมาถามว่าแม่อยากไปไหม เราก็แบ่งรับแบ่งสู้ บอกเขาไปว่ามันจะดีเหรอ อายเขา แม่อายุตั้ง 60 แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเขาจะคิดว่ามาตามหลานกลับบ้าน ลูกชายก็เลยบอกว่าจะอายทำไม ต่างคนต่างมาหาความสุข เราก็เลยไปด้วย ไปถึงก็เสียเงินซื้อซีดี ข้างในก็จะมีซีดี มีรูปถ่าย แล้วก็มีบัตรจับมือ 8 วินาที ซึ่งก่อนจะจับมือ เขาจะให้บรรดาโอตะรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ก่อน ซึ่งหน้าตาแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความสุข แต่ละคนคุยกัน ถามไถ่ ทักทายกัน บรรยากาศมีแต่ความเป็นมิตร จากนั้นก็เข้าเลนของแต่ละคนว่าจะจับมือกับใคร เราก็เข้าเลนของเฌอปราง

“จำได้ว่าช่วงเวลา 8 วินาทีที่จับมือกับเฌอปรางเป็นความรู้สึกที่ดีและตื่นเต้นมาก ความรู้สึกเหมือนวันที่เราแต่งงานเลย เราจับมือน้องแล้วก็บอกเขาว่า รักหนูนะ ยังไงจะเป็นกำลังใจให้หนูเสมอ จะคอยติดตามผลงานของหนูตลอดไป เราคิดว่าช่วงเวลานั้นมันน่าจะเกินกว่า 8 วินาทีเสียอีก ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าหัวใจเรามันพองโตและเต้นแรงมาก”

หลังจากได้จับมือเป็นครั้งแรก นับจากนั้นแม่รัตน์ได้จับมือสมาชิก BNK48 อีกหลายคนจนนับไม่ถ้วน เรียกว่ากิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับ BNK48 น้อยครั้งมากที่เธอจะไม่ไปร่วม ยิ่งกับเฌอปรางเวลาไปไหนมาไหนแม่รัตน์จะคิดถึงน้องโดยตลอด บ่อยครั้งที่มักจะมีของฝากติดไม้ติดมือกลับมาให้ศิลปินที่ตนรัก

“ถึงตอนนี้เราน่าจะหมดไปเป็นแสนแล้วล่ะ อะไรที่เคยบ่นลูกชายไว้สุดท้ายเราเป็นหนักกว่าลูกชายเยอะ” แม่รัตน์พูดพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อนึกไปถึงความเป็นติ่งของตัวเอง

        ความเป็นติ่งที่ใครหลายคนอาจตั้งคำถามว่าในวัย 62 ปีเธอได้อะไรจากมัน 

เป็นติ่งแล้วได้อะไร

ใครหลายคนอาจมองว่าการเป็นติ่ง BNK48 ในวัยที่ชีวิตมีเลข 6 นำหน้าของแม่รัตน์มีแต่เรื่องเสีย ไหนจะเสียทั้งเงินทอง เสียทั้งเวลา หากแต่หญิงวัย 62 ไม่ได้มองอย่างนั้น

แม่รัตน์มองว่าเธอได้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างจากการเป็นติ่ง

“สิ่งแรกที่เราได้เลยคือความสุข เป็นความสุขที่เกิดจากการได้รักใครสักคนอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่คาดหวังอะไร เราได้ให้ ได้สนับสนุน ได้มองดูเขาเติบโตขึ้นทุกวัน แค่นี้หัวใจเราก็อิ่มเอมแล้ว ที่สำคัญเลยการเป็นติ่งพวกเขา ทำให้ชีวิตในวัย 60 กว่า ๆ ของเราไม่เหงาและมีเป้าหมายว่าจะได้ทำอะไร เพื่อใคร ลองคิดดูว่าถ้าไม่มีพวกเขาชีวิตเราคงแห้งแล้งและห่อเหี่ยว”

แม่รัตน์บอกว่าหากไม่มี BNK48 เธอคงเป็นได้แค่คนแก่ที่อยู่เหงา ๆ เผาเวลาชีวิตให้หมดไปวัน ๆ แทนที่จะเป็นคนสูงวัยที่หัวใจยังสาว มีแต่ความกระชุ่มกระชวยเหมือนอย่างทุกวันนี้

นอกจากความสุขในหัวใจหลังวัยเกษียณแล้ว แม่รัตน์มองว่าสิ่งที่เธอได้ตามมาจากการเป็นติ่ง คือการได้สังคม มีเพื่อนฝูง ลูก ๆ หลาน ๆ ที่มีจุดมุ่งหมาย และเป็นคอเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังบวกชั้นดีสำหรับชีวิต

“เราได้สังคม ได้เพื่อนฝูง ถ้าเราชอบอยู่คนเดียว เราก็ไม่รู้จะคุยกับใคร แต่นี่เราอยู่ในสังคมอีกสังคมหนึ่ง เป็นสังคมที่ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ต้องการผลักดันคนที่เรารักให้ไปอยู่ในจุดสูงสุดเหมือนกัน รักน้องเหมือนกัน มีแต่คนที่เข้าใจกัน เราสามารถคุยกับใครได้หมด เวลามีกิจกรรมดี ๆ อะไร หรือถ้าขาดเหลืออะไรในการสนับสนุนน้องก็จะบอกกัน ตรงนี้มันก็จะเป็นพลังบวกในชีวิต เหมือนกับตอนที่เราได้จับมือกับเฌอปรางแล้วได้บอกความรู้สึกของเรากับเขา เราก็รู้สึกได้รับพลังบวกมาก ๆ รู้สึกเหมือนโทรศัพท์มือถือที่ได้ชาร์จแบตฯ จนเต็ม ได้เติมพลังงานใหม่ ๆ เข้าไปในชีวิต

“ตอนนี้เป็นช่วงโควิด ไม่มีงานอีเว้นท์ ไม่ได้เจอน้องนานมาก เลยรู้สึกเหมือนมือถือแบตฯเสื่อม ก็พยายามเอารูป เอาซีดีมาเปิดดูทุกวันให้หายคิดถึง”

ไม่เพียงแต่ได้เพื่อนได้สังคมใหม่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น หากแต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวยังแน่นแฟ้นและมีความสุขมากขึ้น เธอกับลูกชายทั้งสองได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีกิจกรรมทำด้วยกัน พูดคุยเรื่องเดียวกัน ซึ่งหากจะบอกว่าทุกอย่างมาจากการเป็นติ่ง BNK48 ก็คงไม่ผิดนัก

สำหรับคนเป็นแม่ การได้กอดคอเดินไปไหนมาไหนด้วยกันกับลูก มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอด จากที่เคยบ่นทุกวันนี้กลายเป็นว่าเราคุยเรื่องเดียวกัน ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน ทำอะไรเหมือน ๆ กัน และเข้าใจกันมากกว่าเดิม

        “ถ้าจะถามว่าเราได้อะไรบ้างจากการเป็นติ่ง เอาเป็นว่าตอนนี้เรื่องดี ๆ แทบทุกสิ่ง เกิดจากการเป็นติ่ง BNK48 ”

เธอเคยเป็นติ่งใครในอดีต

ก่อนที่จะพบกับเฌอปราง อารีย์กุล และ BNK48 แม่รัตน์คลั่งไคล้ใหลหลง อรัญญา นามวงศ์ มาก่อน

แม่รัตน์บอกว่าอดีตนางเอกและนักแสดงมากฝีมือวัย 73 ปี เป็นเหมือนรักแรกพบในวัยเด็ก เธอหลงรักและชื่นชมถึงขนาดที่ว่าต้องเขียนชื่อ อรัญญา นามวงศ์ เอาไว้ใต้หมอนเผื่อว่าจะนอนฝันดี

“สมัยนั้นมันไม่มีคำว่าแฟนคลับ ติ่ง โอตะ หรือคามิอะไรแบบนี้หรอก แต่ถ้าจะให้บอกว่าใครคือคนแรกที่เราหลงรัก ชื่นชม และเป็นติ่งเขาเป็นคนแรก เราตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่าคือคุณอรัญญา นามวงศ์”

ด้วยความที่อายุห่างกันเกือบ 1 รอบ เมื่อคุณอรัญญา นามวงศ์โลดแล่นบนอยู่บนจอเงิน จอแก้ว แถมพ่วงด้วยตำแหน่งรองนางสาวไทยปี 2508 แม่รัตน์จึงยังเป็นแค่เด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบที่ติดตามผลงานของนางเอกในดวงใจผ่านทางหน้าจอทีวีขาวดำ

“ตอนที่เห็นคุณอรัญญา นามวงศ์ ในจอทีวีครั้งแรก นี่รู้สึกว่าผู้หญิงอะไรสวยขนาดนี้ สวยมาก แล้วไม่ว่าจะทำอะไร จะเดิน จะลุก จะนั่ง ทุกอย่างดูสง่างามไปหมด คิดดูแล้วกันว่าขนาดตอนนี้อายุ 70 กว่าแล้ว คุณอรัญญายังดูสวยอยู่เลย สมัยสาว ๆ แทบไม่ต้องบรรยายเลยว่าสวยขนาดไหน”

ในสมัยก่อนการที่ผู้คนจะได้พบเจอหรือเห็นตัวจริงดาราขวัญใจของตัวเองไม่ได้มีโอกาสมากมายหรือเกิดขึ้นง่าย ๆ เหมือนในสมัยนี้ ในยุค 50 ปีก่อนจะมีก็แต่งานกาชาดที่สวนอัมพรเท่านั้น แถมต้องฝ่าคลื่นมหาชนเรือนพันเรือนหมื่นเข้าไป หากหวังจะได้เห็นกันใกล้ ๆ ตัวเป็น ๆ

“สมัยก่อนมันไม่ได้มีอีเว้นท์มากมายหรือซื้อบัตรจับมือได้เหมือนในสมัยนี้ มีแต่งานกาชาดที่สวนอัมพร จำได้ว่าเราต้องฝ่าคนหลายพัน มุดเข้าไปกว่าจะได้จับมือคุณอรัญญา ตอนที่ได้จับมือมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก หัวใจเรานี่แทบออกมาเต้นอยู่นอกอกเลย”

ไม่ใช่แค่เพียงฝ่าคลื่นมหาชนเพื่อเข้าไปสัมผัสมือกันเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่เด็กหญิงชัญญายังเคยเขียนจดหมายไปหาขวัญใจคนแรกของเธอมาแล้ว ซึ่งคุณอรัญญาเองก็ได้เขียนข้อความลงในปฏิทินวันปีใหม่ตอบกลับมาด้วยเช่นกัน

“สมัยนั้นถ้าจะสื่อสารกันได้ดีที่สุดก็คงเป็นทางจดหมาย เราเองตอนยังเด็กเคยเขียนจดหมายหาคุณอรัญญาด้วยเขียนไปชื่นชมเขา แล้วก็บอกเขาไปประมาณว่า เรารักแล้วก็คิดถึง แล้วพอปีใหม่ คุณอรัญญาก็ส่งปฏิทินกลับมาแล้วก็เขียนข้อความลงในปฎิทินประมาณว่า เป็นเด็กดีนะ ตั้งใจเรียนหนังสือ ถ้ามีโอกาสไว้เจอกัน

“โอ้โห….เราอ่านแล้วต้องบอกว่าโคตรดีใจ ดีใจมาก ๆ อ่านเสร็จแล้ว เรารีบหาหนังสือมาอ่าน ตั้งใจเรียนอย่างที่คุณอรัญญาบอกเลย”

ทุกวันนี้ความรู้สึกชื่นชมที่มีต่อคุณอรัญญา นามวงศ์ของแม่รัตน์ยังคงอยู่เหมือนเดิมทุกประการไม่เปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่นึกถึงเด็กหญิงคนนั้นกับขวัญใจคนแรก เธอยังยิ้มได้และมีความสุข

“วันนี้เราก็ยังชื่นชมคุณอรัญญาอยู่ ความรู้สึกนี้ไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่กับเราเหมือนเดิม เพียงแต่เราไม่ได้มีโอกาสเจอคุณอรัญญาเหมือนกับที่เจอเฌอปรางหรือน้อง ๆ BNK48

“ถ้าได้เจอเราก็คงเดินเข้าไปหาแล้วคงบอกคุณอรัญญาว่า เราติดตามคุณมาตลอดชีวิต ขอให้คุณอรัญญารักษาสุขภาพ และคงความสวยอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ”

ไม่มีใครรู้หรอกว่าแม่รัตน์จะได้มีโอกาสบอกสิ่งที่อยู่ในใจกับดาราที่เธอรักและชื่นชมหรือไม่ แต่ถึงบรรทัดนี้สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงเสมอก็คือ ผู้หญิงคนนี้เมื่อได้รักและชื่นชอบใครแล้ว ความรักนั้นจะเป็นความรักอันบริสุทธิ์โดยแท้จริง และความเป็นติ่งจะคงอยู่เช่นนี้

        ตราบจนชั่วชีวิต

ติ่งตลอดชีวิต

สำหรับแม่รัตน์หากตกลงปลงใจจะเป็นติ่งใคร ความรักความชื่นชมไม่ได้คงอยู่แค่วันสองวัน แต่ความรู้สึกนั้นจะยาวนานไปชั่วชีวิต

“ความสุขนี่มันเป็นเรื่องของใครของมันจริง ๆ นะ เราทำอย่างคุณ เราอาจไม่มีความสุข คุณเป็นอย่างเรา คุณก็อาจไม่มีความสุข สำหรับเรา ความสุขคือการได้เป็นติ่ง ได้รักใครสักคนอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วถึงวันนี้เราก็ยังมีความสุขดี ก็ในเมื่อชีวิตมันมีความสุข ก็ไม่รู้ว่าจะเลิกเป็นติ่งไปทำไม

“อย่างการที่เราเป็นติ่ง BNK48 แล้วมีเฌอปรางเป็นคามิ ถามว่าวันหนึ่งถ้าวันหนึ่งเฌอปรางออกจากวง เราจะยังตามทั้งวงอยู่ไหม เราบอกได้เลยว่า เราก็ยังคงตามอยู่เหมือนเดิม เราจะยังเป็นติ่ง BNK48 และเป็นติ่งเฌอปรางเหมือนเดิมนั่นแหละ

“จะเป็นติ่งไปยันแก่ จะยังไปดูคอนเสิร์ต จนกว่าวันที่เราจะไปไม่ไหว”

หญิงวัย 62 พูดพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อนึกไปถึงวันข้างหน้า ที่ชีวิตอาจจะไม่อนุญาตให้เธอได้ออกไปทำอะไรที่มีความสุขอย่างที่เคยทำในปัจจุบันอีก อย่างไรก็ตามหากวันนั้นมาถึงเธอก็ยังยืนยันว่าชีวิตของเธอก็ยังจะมีความสุขอยู่ดี

“ส่วนที่สวยงามและมีคุณค่าที่สุดในการเป็นติ่ง คือความทรงจำที่ดี ความทรงจำที่ดีจะทำให้เรามีความสุข และจะทำให้หัวใจเราเบิกบานทุกครั้งที่คิดถึง เป็นเหมือนน้ำที่รดไปในหัวใจ ทำให้หัวใจมันเติบโตอยู่ตลอดเวลา

“เพราะฉะนั้นต่อให้วันหนึ่ง เราไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เราทำในวันนี้ก็จะมีคุณค่า กลายเป็นความทรงจำที่ทำให้เรามีความสุขในวันที่เราเข้าสู่บั้นปลายชีวิต”

ว่ากันว่าอาหารมีไว้หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ความทรงจำมีไว้หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ สำหรับแม่รัตน์สิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเธอนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวของความสนุกสนานและสวยงาม

        จะมีมนุษย์สักกี่คนที่จะมีความสุขได้อย่างเธอ 

Credits

Authors

  • ปองธรรม สุทธิสาคร

    Author & Photographerเป็นคนเขียนหนังสือ ที่หลงใหลในวรรณกรรมน้อยกว่ากีฬา และภรรยาของตนเอง ยามว่างหากไม่ใช้เวลาไปกับการนั่งคุยกับคน ก็มักหมดเวลาไปกับการนั่งดูบาส ดูบอล และละครน้ำเน่า นักเขียนวัยหลักสี่คนนี้ยืนยันว่าตนเองคือนักอุทิศเวลาให้กับความขี้เกียจ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นชีวิตที่ขี้เกียจได้

  • บริภัทร บุญสวัสดิ์

    Cameramanหลงใหลผลลัพท์ในรอยยิ้มหวานเจี๊ยบจริงใจที่ส่งคืนกลับมา :)

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ