Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

เชฟดำริ มุขสมบัติ และ อรนุช แก้วหาวงศ์ คู่รักที่ทำให้ภาพฝันหลังเกษียณเป็นจริงได้ด้วยการวางแผนทางการเงิน

เป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแสนลำบาก ทั้งเหนื่อยเครียดกับการทำงาน แค่ค่าครองชีพก็ยังแพงหูดับ ทั้งอดทน อดออมก็แล้ว โดยจะให้เหลือกินเหลือเก็บแต่ละทีมันก็ยากเสียเหลือเกิน หากถามถึงการเก็บเงินออมเพื่อใช้วัยหลังเกษียณโดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวกันแล้ว ก็ยิ่งดูเป็นเรื่องอีกไกลตัวไปอีก

แล้วเราจะมีชีวิตหลังเกษียณดั่งใจฝันได้จริงไหม? มีเงินใช้สบาย ๆ ไปตลอดหลังเกษียณได้จริงหรือเปล่า? มนุษย์ต่างวัยชวนคุยกับ เชฟดำริ มุขสมบัติ และ นุช – อรนุช แก้วหาวงศ์ คู่รักวัย 50 ปี อดีตพนักงานประจำที่สามารถเกษียณจากงานประจำได้ตามที่ตั้งใจ ออกมาใช้ชีวิตได้ตามฝันที่วาดไว้ได้สำเร็จเพราะมีการวางแผนทางการเงินที่ดี

ชีวิตและความฝันของมนุษย์เงินเดือน

หลังเรียนจบ ม.6 เชฟดำริก็เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ทำงานครัวมาตลอดและเป็นเชฟมามากกว่า 20 ปี ส่วนนุชหลังเรียนจบก็ทำงานในแวดวงสื่อและสิ่งพิมพ์ ทั้งสองใช้ชีวิตเป็นพนักงานประจำมาตลอด จนกระทั่งปี 2562 ทั้งคู่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ประกาศขายบ้าน แล้วย้ายออกมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่จังหวัดชัยภูมิในวัย 47 ปี

“ก่อนหน้านี้เราทั้งคู่เป็นพนักงานประจำกันมาตลอด การอยู่ในเมืองทำให้เราต้องมีการวางแผนค่าใช้จ่ายให้ดี แต่เราคุยกันเสมอว่าอยากใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ด้วย เราไม่อยากไปเที่ยวตอนแก่ที่ต้องใช้ไม้เท้า หรือตอนที่กินอะไรก็ไม่อร่อยแล้ว อย่างหน้าหนาวเราต้องไปภูเขา หน้าร้อนเราต้องไปทะเล ปีหนึ่งเราจะปักหมุดไว้เลยว่าต้องไปเที่ยวไหนบ้าง

“เรื่องกินเราก็เต็มที่เหมือนกัน เพราะเชฟทำงานด้านอาหาร การสร้างประสบการณ์ด้านการกินเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราจะพูดถึงอาหารมิชลินสตาร์ แต่ไม่เคยกินมิชลินสตาร์เลยคงเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีประสบการณ์หลากหลาย ฉะนั้นถ้ามื้อไหนเราอยากกินให้ดี กินให้อร่อย เราจะขึ้นไปแตะให้ถึงสิ่งที่เรียกว่าอร่อยที่สุดแล้วยอมจ่าย”

ความรักในการทำอาหารของเชฟดำริทำให้เขาใช้เวลากว่า 30 ปีในการทำงานในครัว และความผูกพันกับชีวิตหน้าเตาอย่างยาวนานถูกฉายเป็นภาพซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

“เมื่อก่อนผมก็คิดว่าจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี แต่พอเราคุยกันมาเรื่อย ๆ ก็เกิดคำถามว่าเราจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี เลยเหรอ ถึงวันนั้นเราจะมีแรงทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำหรือเปล่า มันทำให้เราวางแผนเรื่องนี้กันมาตลอด แล้วเป็นจังหวะที่เราสองคนออกจากงานประจำในวัยใกล้ 50 ปีพอดี เราก็คิดกันว่าน่าจะเกษียณตอนนี้นี่แหละ ยังมีแรงทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำ รอให้อายุ 60 ปี คงไม่มีแรงกันแล้ว”

“เราสองคนคุยกันตั้งแต่อายุ 20 ปี ต้น ๆ แล้วว่าอยากมีภาพฝันในบั้นปลายแบบไหน เรารู้แค่ว่าไม่อยากอยู่กทม. แล้ว เพราะมันอึดอัดไปหมด อยากมีบ้าน มีร้านอาหารที่ต่างจังหวัดสักที่ที่มีอากาศดีทั้งปี เราแค่อยากนั่งด้วยกันสักที่ที่สบาย ๆ นั่งชิล ๆ อยู่ข้างกันในวันที่เราแก่จนผมขาว แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีเงิน จากนั้นเราก็เริ่มวางแผนเก็บเงินด้วยกัน” นุชกล่าวเสริมถึงจุดเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม

วางแผนการเงิน – หัวใจอยู่ที่วินัยและความสม่ำเสมอ

นุชเล่าให้เราฟังว่าแม้ทั้งคู่จะมีการวางแผนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเป็นอย่างดี ใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการซื้อประสบการณ์และการเติมความสุขด้านต่าง ๆ ของชีวิตอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง การวางแผนใช้จ่ายเงินของทั้งคู่เป็นการวางแผนร่วมกันโดยมีนุชดูแลเป็นหลัก ศึกษาวิธีการออมเงิน ลงมือวางแผน และเก็บออมอย่างมีวินัยเป็นเวลานาน

“พอเราทั้งคู่อายุ 25 ปี เริ่มมีงานประจำ ตอนนั้นเงินเดือนไม่ได้มาก แต่สิ่งเร้าที่ดึงเงินเราออกจากกระเป๋าก็ไม่ได้มากเหมือนกัน เราเริ่มวางแผนทางการเงินด้วยกัน ทั้งการออมเงินและซื้อประกัน เป็นการสะสมทีละเล็กละน้อยอย่างต่อเนื่อง วันหนึ่งเราก็ได้เงินก้อนพอสมควรเลย”

แม้ในช่วงแรกทั้งคู่ต่างคนต่างดูแลเงินของตัวเอง แต่ภายหลังกลับพบวิธีที่สะดวกกับทั้งคู่ได้มากกว่านั่นคือ การนำเงินมารวมกัน โดยเชฟดำริจะให้นุชเป็นผู้ดูแลให้ทั้งหมด

“เมื่อก่อนผมคิดว่าผมเก็บเงินได้ ก็จะแบ่งเงินไว้เก็บครึ่งหนี่ง ใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงมันไม่พอ เลยเปลี่ยนเป็นให้นุชดูแลทั้งหมด เขาจะโอนเงินให้ใช้ทุกสิ้นเดือน อยากซื้อหาอะไรนุชก็จะดูแลจัดการให้ ส่วนตัวผมคิดว่ามันดีตรงที่ทำให้เราไม่ฟุ่มเฟือย”

“พอเงินเดือนออก เราจะนำเงินสองคนมากองรวมกัน แล้วแบ่งเป็น 2 กองเท่า ๆ กัน (50:50) กองแรกคือเงินเก็บอีกกองหนึ่งคือค่าใช้จ่าย ถ้าคิดจากสัดส่วนของเงินทั้งหมด ก้อนเงินเก็บ เราใช้ซื้อประกัน 20% ซื้อสลากออมสิน 20% และฝากประจำ 10% ส่วนก้อนที่เป็นค่าใช้จ่ายแบ่งให้พ่อแม่ 10% จ่ายภาษี 5% และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 35%

“ในช่วงแรก เราก็ต่อต้านการทำประกันเหมือนกัน แต่พอเริ่มศึกษา เราพบว่ามันมีข้อดี มันเหมือนเงินฝาก ถ้าเราเป็นอะไรไป คนข้างหลังก็สบายมีเงินก้อน แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นอะไร ก็มีดอกผลคืนมา เหมือนมีบำนาญไว้ใช้ตอนแก่ เรามองว่าประกันนั้นซื้อไว้เถอะ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลประโยชน์มากกว่าฝากธนาคาร

“การวางแผนการเงินเป็นเรื่องระยะยาว ต้องใจแข็ง มีวินัย ซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่ใช่ว่าเอามาใช้ก่อนแล้วโปะคืน มันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู สุดท้ายเงินออมก็จะหายไปเรื่อย ๆ หรือถ้าเรามีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แล้วไม่มีเงินมาเติมแล้ว สุดท้ายมันก็หมดไป เรื่องเงินเก็บ แม้จะดูเป็นโบร่ำโบราณ แต่มันเป็นความมั่นคงของชีวิต มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้ที่เราประทับใจมาก ท่านบอกว่า จะวัดความสามารถคนไม่ใช่วัดที่การหาเงินได้เท่าไหร่ แต่วัดที่เก็บเงินได้เท่าไหร่ต่างหาก” นุชกล่าวเสริม

บอกลางานประจำ ร่ำลาเมืองกรุง เดินตามความฝันในวัย 48 ปี

ปลายปี 2562 เชฟดำริเลือกลาออกจากงานประจำ ในขณะที่งานสื่อสิ่งพิมพ์ของนุชถูกสื่อออนไลน์เข้าแทนที่ ประกอบกับเป็นช่วงของโควิด กรุงเทพฯ เงียบสงัด จะออกไปไหนก็ลำบาก นี่จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทั้งคู่ที่เลือกประกาศขายบ้าน แล้วย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

“ตอนนั้นเราสองคนตัดสินใจว่าจะไม่หางานใหม่อีกแล้ว ถือว่าเกษียณโดยสมบูรณ์ เราเลยเอาเงินก้อนที่เราเก็บไว้มาดูกัน เรามีเงินรวมกันเจ็ดหลัก เลยลองแจกแจงค่าใช้จ่ายดูว่าถ้าจะย้ายถิ่นต้องใช้อะไรบ้าง อันดับแรกคือเราต้องขายบ้านที่กรุงเทพฯ เพราะมันเป็นภาระ พอลองมาแบ่งเงินเก็บพบว่าเราต้องใช้ก้อนหนึ่งปลูกบ้าน อีกก้อนสำหรับทำธุรกิจเพื่อเลี้ยงตัว และก้อนสุดท้ายคือสำรองไว้เพื่อให้เราใช้ในการเริ่มต้นใหม่ พอเห็นว่ามันน่าจะเป็นไปได้ก็หาที่ดินทันที

“เราขับรถดูกันหลายที่ เน้นอยู่ในเมืองและใกล้แหล่งท่องเที่ยวเพราะเราคิดว่าน่าจะทำธุรกิจง่ายกว่า แต่สุดท้ายมาเลือกลงหลักปักฐานที่นี่ (อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ) ที่นี่เป็นที่ของเราเอง ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก มีแค่ทุ่งดอกกระเจียวบานปีละครั้ง แต่พอลองทดสอบความรู้สึกกันดูแล้ว เราทั้งคู่คิดว่าอยู่ได้ ก็ปักหมุดกันตรงนี้เลย

“เราสองคนคุยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเราอยากมีภาพฝันบั้นปลายชีวิตแบบไหน พอเราอายุ 25 ปี มีเงินเดือนประจำ ก็เริ่มวางแผนเก็บเงินกันมาเรื่อย ๆ ตอนนั้นเงินเดือนไม่ได้มาก เน้นว่ามีน้อยเก็บน้อย แต่เก็บสม่ำเสมอ การเก็บเล็กผสมน้อยสม่ำเสมอแต่ยาวนานนี้ มันทำให้เราในวัย 47-48 ปี มีเงินมากพอที่จะมีบ้าน มีร้านอาหารเล็ก ๆ ในต่างจังหวัด

“แรก ๆ เราเองก็คุยกันว่าเป็นไปได้ไหมที่จะทำธุรกิจในที่แบบนี้ แต่เราเชื่อว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราถนัด เก่งในทางของเรา เราออกแบบไว้ว่าให้เป็นแค่ร้านเล็ก ๆ เรียบง่าย แต่เป็นอาหารรสมือเชฟดำริ มากินตอนไหนรสก็ไม่ผิดเพี้ยน เราเชื่อว่า ถ้าเราอดทนคนจะมาหาเราเอง เราจะบอกทุกคนเสมอว่า ที่เราอยู่ได้ นั่นเป็นเพราะเราอยากอยู่ ถ้าเราอยากอยู่แล้ว เราจะบริหารจัดการทุกอย่างให้มันอยู่ได้ในที่สุด” นุชเล่าถึงจุดเริ่มของร้านอาหารบ้านเชฟดำริแห่งนี้ด้วยแววตาเปล่งประกาย

ส่วนเชฟดำรินั้นก็คิดไม่ต่างกัน เชฟเล่าให้เราฟังว่า ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ยังได้ทำในสิ่งที่รัก ได้ใช้วัตถุดิบดี ๆ ปรุงอาหาร ได้เห็นรอยยิ้มของลูกค้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“ตอนเป็นพนักงานประจำ เรามีความสุขในอาชีพเชฟก็จริง แต่มันก็มีความทุกข์ ความเครียดแฝงอยู่ตลอดทั้งเรื่องงาน เรื่องคน สุขภาพเราก็แย่ลงไปเรื่อย ๆ พอเราได้ออกมาอยู่แบบนี้ ผมกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ได้ทำแต่สิ่งที่อยากทำ ไม่ใช่แค่ทำอาหาร แต่ผมได้ปลูกต้นไม้ จับจอบเสียม ได้เห็นการเจริญเติบโต มีความสุขทุกเสี้ยววินาที แต่ละวันคิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากินอาหารเราแล้วมีความสุขที่สุด”

ภาพฝันอันแจ่มชัดและการลงมือทำในทุกวัน

สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเน้นย้ำเสมอคือการมีเป้าหมายและการมีภาพฝันอันแจ่มชัดว่าชีวิตหลังเกษียณต้องการแบบใด เมื่อมีหมุดหมายแล้ว เพียงแต่วางแผน และลงมือทำในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ

“บางคนอาจคิดว่าเพราะไม่มีลูกหรือเปล่าจึงทำแบบนี้ได้ แต่จริง ๆ แล้ว เราคิดว่าไม่ว่าจะเป็นคนโสด คนมีคู่ หรือมีลูก สิ่งสำคัญที่สุดคือขอให้มีภาพในวัยเกษียณที่ชัดเจน เราอยากเป็นผู้สูงวัยที่มีความสุขแบบไหน ถ้าเราอยากเป็นผู้สูงวัยที่มีความสุข ให้ย้อนคิดกลับมาว่าเราจะเป็นอย่างนั้นได้ วันนี้เราต้องทำอย่างไร จากนั้นก็วางแผนจัดการชีวิต ยิ่งทำเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นจริงได้สูง การมีวินัย ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จเกือบ 100%

“เหมือนเราฝันอยากมีสวนสวย ๆ เพียงแค่วันนี้ลงมือขุดดิน ปลูกต้นไม้เล็ก ๆ อีกไม่กี่วันข้างหน้ามันก็จะกลายเป็นไม้ใหญ่แล้วกลายเป็นสวนสวยที่เราอยากมี ถ้าเริ่มวางแผนชีวิตได้เร็ว แม้เราจะเหนื่อยนานแต่มันเหนื่อยน้อยกว่า แต่ถ้าเริ่มช้าจะเหนื่อยหนักมากกว่าจะได้ในสิ่งที่ฝัน

“สำหรับคนที่มีลูก อาจจะเหนื่อยกว่านิดหน่อย แต่ไม่ได้ยากเกินไป เราคิดว่าสิ่งสำคัญคืออย่าคิดว่าจะให้ลูกมาเลี้ยงเรา ขอให้เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ดูแลตัวเองได้ และปล่อยให้ลูกหลานได้ไปมีชีวิตของเขา เราต่างหากต้องเป็นตัวอย่างให้เขาว่าพอถึงวัยเกษียณ นอกจากจะส่งลูกหลานถึงฝั่งได้แล้วยังเป็นเกษียณสำราญได้อีกด้วย

“ในหนังเรื่อง Before Sunset (2004) มีฉากที่คู่รักนอนอยู่บนเตียงผ้าใบ จิบแชมเปญแล้วดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน เรามีภาพฝันถึงชีวิตตอนแก่แค่นี้แหละ ทุกวันนี้ ภาพมันใกล้เคียงกับที่เคยฝันไว้มาก ๆ สำหรับเชฟ เราจะถามเขาเสมอว่าแฮปปี้ไหมเพื่อเช็กความรู้สึกกันตลอดเวลา บางวันเราก็ได้ยินเขาร้องเพลงอยู่ในครัว มันเป็นภาพที่ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่าเราได้ตัดสินใจถูกแล้ว เขาจะบอกเสมอว่าขอบคุณที่ชวนมาอยู่ที่นี่ ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ มันทำให้เรายิ่งรู้เลยว่าความสุขของเราคือการเห็นคนที่รักมีความสุขด้วย”

“ถึงตอนอยู่กรุงเทพฯ เราได้รายได้เยอะกว่านี้ก็จริง แต่เราสองคนได้คุยกันน้อยมาก วันหนึ่งเราเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง เดี๋ยวต่างคนก็ต้องไปทำงานอีกแล้ว แต่พอมาอยู่ที่นี่ เราเหมือนได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ได้แชร์เรื่องนู้นเรื่องนี้ให้กันฟัง ผมคิดว่าความสุขมันอยู่ที่เราต้องการอะไรมากกว่า” เชฟดำริกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

แนวคิดเกษียณเร็ว หรือ F.I.R.E (Financial Independence, Retire Early) หรือการมีอิสรภาพทางการเงินจนสามารถหยุดทำงานได้ตั้งแต่อายุน้อย (30-40 ปี) กำลังเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจมากในหมู่คนรุ่นใหม่ เพราะพวกเขาต้องการใช้วันเวลาในวัยหนุ่มสาวทุ่มเททำในสิ่งที่รัก ที่สนใจอย่างอิสระมากไปกว่าการนั่งทำงานจนแก่เฒ่า แต่การเกษียณเร็วไปก็อาจเจอกับปัญหาเหมือนกัน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET: The Stock Exchange of Thailand) ได้แนะนำไว้ว่า การเกษียณอายุเร็วอาจทำให้มีช่วงเวลาเก็บเงินลดลงตามไปด้วย หรือหากเกษียณไปแล้วอาจมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมากกว่าที่ประเมินไว้ การพยายามเก็บเงินต่อปีที่มากขึ้นหรือลดค่าใช้จ่ายทำให้ต้องทำงานหนักมากขึ้น เสียสมดุลชีวิต ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงสภาพจิตใจหลังเกษียณเร็วที่อาจทำให้สูญเสียสถานภาพและบทบาททางสังคมไป หากวางแผนจะเกษียณเร็วแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการวางแผนล่วงหน้าอย่างรัดกุมรอบคอบ เลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองอย่างมีความรู้ จะทำให้สามารถจัดการกับความเสี่ยงต่าง ๆ และบรรลุภาพฝันหลังเกษียณได้ดังใจฝัน

 

Credits

Author

  • มนุษย์ต่างวัย

    Authorพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมสูงวัยในมุมที่สนุก สร้างสรรค์ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทุกวัย

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ