หากในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต มีใครคนหนึ่งที่เดินทางร่วมกันมา คอยสนับสนุนทั้งในแง่ของการงานและชีวิตส่วนตัว เป็นทั้ง Head และ Heart ให้กันและกันมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งช่วงเวลานั้นต้องสิ้นสุดลงเพราะเวลาแห่งการจากลาได้เดินทางมาถึง
แม้เราจะรู้ดีว่าการสูญเสียและการจากลาเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริง ๆ ต่อให้เราจะเตรียมตัว เตรียมใจกับมันไว้มากแค่ไหน ก็ไม่อาจห้ามความเศร้าโศกเสียใจได้เมื่อเวลานั้นมาถึง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว คนที่ยังอยู่ก็ต้องยอมรับ เรียนรู้ และหาทางเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปไม่ว่ามันจะยากเพียงใดก็ตาม
อย่างเรื่องราวของ ‘ต้อย’ นพไชย อังควัฒนะพงษ์ วัย 65 ปี อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จับพลัดจับผลูสู่เส้นทางการเป็นนายแบบในวัยเกษียณ เพราะการเปลี่ยนความคิดถึงให้เป็นพลังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากที่ภรรยาจากไปด้วยโรคมะเร็ง ด้วยการหยิบเสื้อผ้าของภรรยามาใส่ให้เหมือนกับว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ได้พาเธอไปด้วย จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการไปลองแคสต์งานเดินแบบครั้งแรกในวัย 60+ ให้กับโปรเจกต์จบของนักศึกษา และเป็นประตูสู่การได้เดินแบบ ถ่ายแบบ ให้กับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำมากมายทั้ง Fri27nov., Greyhound, Matter Makers และ CPS CHAPS
ความสูญเสียที่เปลี่ยนชีวิต
“ภรรยาผมเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เขาเป็นมะเร็งอยู่ 2- 3 รอบ ผ่าตัดไม่ได้ พอทำคีโมก็ฆ่าเชื้อไม่หมด ช่วง 2 ปีสุดท้ายที่เขาป่วยเป็นช่วงที่ผมต้องเปลี่ยนรูทีนเพื่อดูแลเขา ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่รับผู้ป่วยนอก ผมก็ต้องดูแลเขาที่บ้าน
“ช่วง 3 เดือนก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ร่างกายเขาเปลี่ยนไปเยอะแล้ว แต่ช่วงนั้นผมไม่ทันสังเกต เพิ่งมาเห็นตอนที่ผมกลับมาดูภาพที่เก็บไว้ในโทรศัพท์ ตอนนั้นเราไม่สามารถย้ายเขาเข้าไปอยู่ในศูนย์ดูแลได้ ผมก็เลยต้องถ่ายวิดีโอตรวจดูการหายใจของเขา เพื่อส่งไปให้หมอและพยาบาลที่ดูแลเขาทุก ๆ 2 ชั่วโมง พอกลับมาดูผมก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังปกติจนซูบผอมแทบจะเหลือแต่กระดูก ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกหดหู่มาก
“ตอนที่เขาจากไปมันเสียใจนะ แต่มันก็ดีใจตรงที่เขาไม่ต้องทรมานอีกแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังทำใจอยู่ แต่เราก็พยายามคิดถึงเขาในส่วนที่มันมีความสุข ส่วนเรื่องที่มันเป็นความทุกข์ เราก็พยายามไม่เข้าไปแตะมันมาก
“มันยากนะที่จะกลับมาทำอะไรด้วยตัวคนเดียว มันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิต รูทีนของเราที่เคยมีคนดูแลให้มันหายไป พอผมต้องมาทำเอง ผมก็ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น งานบางส่วนที่เราทำด้วยกัน มันก็หายไปเลย แต่มันต้องเปลี่ยน ผมต้องมีชีวิตต่อ ผมก็พยายามช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด โชคดีที่มีลูกศิษย์ และผู้ใหญ่ที่เมตตาสนับสนุนเราอยู่”
ชีวิตใหม่ที่(เสื้อ)เธอพาไปต่อ
“หลายครั้งที่เราเรียนรู้ว่าการที่จะหลุดออกจากบางอย่างได้นั้น เราต้องเข้าหามันเต็มตัว จริง ๆ ตอนที่ผมเอาเสื้อผ้าของภรรยามาใส่เป็นช่วงที่ผมพยายามจะทำอะไรบางอย่างให้มันหลุดออกจากความคิดถึงเขา ช่วงนั้นยังมองไม่ออกหรอกว่าการที่เราเอาเสื้อผ้าเขามาใส่นั้นมันจะกลายเป็นงานขึ้นมา
“ผมต้องดูแลภรรยาในช่วงที่เขาป่วยอยู่ ซึ่งมันได้กลายเป็นรูทีนหนึ่งของผม แต่พอเขาเสียชีวิตไปแล้ว หลาย ๆ อย่างที่เคยทำตอนนั้นก็กลับไปทำไม่ได้ ผมก็เลยต้องหาวิธีที่จะกลับมาเป็นคนเดิม สิ่งที่ผมทำได้คือกลับมานั่งดูว่าตอนที่ผมใช้ชีวิตคนเดียวด้วยความมั่นใจนั้น ผมทำอะไรบ้าง ซึ่งผมก็พบว่าช่วงชีวิตที่ผมมั่นใจที่สุดคือตอนอายุ 30 กว่า ผมก็เลยกลับมาทบทวนและสร้างรูทีนใหม่ให้กับชีวิตของตัวเองอีกครั้งด้วยการออกกำลังกายและการฟิตร่างกาย แล้วผมก็เห็นว่าตัวเองสามารถใส่เสื้อผ้าบางชุดของภรรยาได้
“วันหนึ่งผมจะไปเดินชายหาดแล้วเหมือนเป็นความบังเอิญที่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าไม่มีเสื้อผ้าตัวไหนที่เหมาะกับการใส่ไปเดินชายหาดเลย พอดีมันมีเสื้อแขนกุดตัวหนึ่งของภรรยาที่เขาใช้ใส่ทำสวน ผมมองว่ามันดูเหมาะ ก็เลยหยิบมาใส่ แล้วลูกศิษย์ก็ถ่ายรูปไว้ นั่นก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแฟชั่นซึ่งมันไม่เคยมีอยู่ในชีวิตของผมมาก่อน
“จากนั้นผมก็เลยเริ่มปรับเสื้อผ้าของตัวเอง เลือกเสื้อผ้าของภรรยามาแมตซ์กับกางเกงของผมแล้วใส่ไปยังสถานที่ต่าง ๆ และใช้คำว่า ‘พาเธอ’ ซึ่งก็หมายถึง ‘เสื้อผ้าของเขา’ ไปที่ที่เราเคยไปด้วยกัน
“ส่วนการไว้ผมยาวนั้นเริ่มมาจากมีช่วงหนึ่งที่ภรรยาของผมเขาต้องการใช้เส้นผมในการผลิตงาน แต่ตอนนั้นเขาต้องทำคีโมก็เลยทำให้เส้นผมของเขาร่วงหมด ผมก็เลยเริ่มไว้ผมยาวมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ตัด”
แทนที่ความเศร้าด้วยเรื่องราวใหม่
เส้นทางชีวิตใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยการทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน การเดินแบบ ถ่ายแบบ ค่อย ๆ เปลี่ยนช่วงเวลาที่โรยราและเปลี่ยวเหงาของอาจารย์ต้อยให้เป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นประหม่า เขินอาย ที่เรียกความเยาว์วัยและความมั่นใจกลับมาสู่ชีวิตของเขาอีกครั้ง โดยที่เขายังรู้สึกว่ามีภรรยาอยู่เคียงข้างและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอ
“ผมเข้าสู่วงการเดินแบบด้วยการจับพลัดจับผลู มีช่วงหนึ่งที่คณะมัณฑนศิลป์ สาขาแฟชั่น มหาวิทยาลัยศิลปากร เขาประกาศว่าต้องการนายแบบนางแบบมาเดินให้กับชุดซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปี 4 ตอนนั้นผมก็คิดสนุก ๆ ว่าอยากใส่เสื้อผ้าของภรรยาไปลองแคสต์ โดยไม่ได้คิดว่าจะได้รับเลือกให้เป็นนายแบบจริง ๆ ซึ่งงานนั้นก็เป็นงานแรกที่ผมได้เดินแบบ หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนมาชวนไปเดินที่นั่นที่นี่อยู่เรื่อย ๆ
“ผมเดินแบบมาประมาณ 2 ปี โชคดีที่ได้เดินแบบให้กับเสื้อผ้าแบรนด์ Fri27nov. และ Greyhound ซึ่งเป็นแบรนด์ใหญ่ แล้วตอนนั้นก็อยู่ในช่วงของแฟชั่นวีก ทำให้มีภาพของเราจากสื่อใหญ่ ๆ ออกมา ก็เลยทำให้เราเป็นที่รู้จัก ส่วนงานถ่ายแบบก็มีบ้าง ถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่ ๆ ก็คือ Matter Makers กับ CPS CHAPS
“ช่วงที่ภรรยาผมเขายังมีชีวิตอยู่ เขาพยายามสนับสนุนให้ผมทำอะไรหลายอย่าง แต่ว่าผมปล่อยให้มายด์เซ็ตในเรื่องของอายุและรูทีนในชีวิตประจำวันมาเป็นตัวควบคุม เสื้อผ้าหลายตัวที่เขาเคยซื้อให้ ตอนนั้นผมไม่กล้าใส่ แต่ตอนนี้มันเหมาะมาก บางชุดแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย มันมีความคลาสสิกของมันอยู่ สีบางสีที่ไม่กล้าใส่ นาน ๆ ครั้งหยิบมาใส่ เพื่อให้มันเสื้อผ้ามันตะโกนบ้าง มันก็น่าจะสนุก และทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลง
“ผมเข้าใจแล้วว่าแม้ร่างกายของเรามันจะร่วงโรยลงไปทุกวัน แต่ถ้าเราสามารถที่จะขยับหรือปรับมายด์เซ็ตของเราได้ ร่างกายและจิตใจมันก็จะถูกปรับตามไปด้วย”
เรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นกับชีวิต
“การเดินแบบถือเป็นสิ่งใหม่ในชีวิต เป็นอะไรที่ท้าทายมาก สายแฟชั่นเขาเปิดโอกาสให้ เราไม่จำเป็นต้องหล่อ สวย แค่มีลุคที่ชัดเจน เราก็สามารถไปอยู่ตรงนั้นได้ แต่ว่าอย่าไปคาดหวังกับมันมาก มันจะได้ไม่ผิดหวังมาก เพราะเราอาจจะต้องแคสต์ประมาณ 100 ครั้ง เพื่อที่จะได้งานสัก 2 ครั้ง
“เวลาไปแคสต์แล้วโดนปฏิเสธก็มีเยอะ แต่ผมก็ไม่ไปคาดหวังกับมันมาก ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร การถูกปฏิเสธบ่อย ๆ มันเริ่มเป็นรูทีนที่ชินอยู่เหมือนกัน พอโดนมากกว่า 10 ครั้งมันก็เริ่มชินแล้ว แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องทำใจอยู่ ถามว่าเสียความมั่นใจไหมคงต้องบอกว่าการเดินแบบสำหรับผมมันไม่ใช่อาชีพหลัก ผมเป็นศิลปิน เพราะฉะนั้นการถูกปฏิเสธจากแกลอรีอาจจะเสียใจมากกว่า
“ทุกวันนี้ผมจะไม่ติดกับรูทีนแม้กระทั่งในเรื่องของการทำงาน ผมคิดว่าพื้นที่ใหม่ รูทีนใหม่ มันก็จะทำให้เรามีความสัมพันธ์กับผู้คนใหม่ ๆ เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ซึ่งจะทำให้เราเกิดมายด์เช็ตใหม่ ๆ ด้วย ความรู้สึกในตอนนี้มันดีตรงที่เรากล้าที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น”
สิ่งที่เธอเคยบอกและสิ่งที่อยากบอกเธอ
“ผมรู้สึกดีที่ได้ใส่เสื้อผ้าของภรรยาและผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามายาคติของโลกมันทำให้เราแบ่งแยกเพศว่าอันนี้เป็นเสื้อผ้าผู้ชาย อันนี้เป็นเสื้อผ้าผู้หญิง พอผมไปอยู่จุดนั้นแล้วมันเหมือนกับว่าเราข้ามสิ่งเหล่านั้นไปหมด ผมรู้สึกว่าเสื้อผ้าผู้หญิงใส่แล้วดูดีกว่าเสื้อผ้าผู้ชายด้วยซ้ำเพราะว่าทรงและการตัดมันเข้ารูป
“ภรรยาเขาจะเตือนผมเสมอว่าให้ดูแลตัวเอง เพราะในอดีตเราปล่อยให้สังขารของเราควบคุมรูทีนของตัวเอง แล้วความชรามันก็ทำให้เราร่วงโรยลงไปเรื่อย ๆ วันนี้นึกย้อนกลับไปก็ต้องขอบคุณที่เขาเตือนผม แต่ผมน่าจะเชื่อเขาตั้งแต่วันนั้นแล้ว
“ถ้าผมบอกอะไรกับภรรยาได้ ผมก็คงต้องบอกว่าผมเชื่อเขาแล้ว ผมเข้าใจเขาแล้ว และขอบคุณมาก ๆ ครั้งหนึ่งที่เขาอยู่ในชีวิตของเรา เราไม่ค่อยฟังเขา แต่วันนี้แม้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้กับเราแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเราอยู่”
วัยอยู่ที่ใจ
“คนวัยชราสิ่งแรกที่จะเสื่อมลงก็คือแกนกลางลำตัวมันจะพับ เวลาเดินมันจะไม่สามารถเดินให้ตัวตรงได้ ต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร บริเวณแกนกลางลำตัวนั้นจะเริ่มตั้งแต่ช่วงลำคอลงมาจนถึงท้อง เกี่ยวข้องกับการนั่ง การยืน การเดิน เราต้องดูแลด้วยการออกกำลังกายให้ถูกวิธี มันไม่ยากที่เราจะทำให้ร่างกายกลับมาสมบูรณ์ แต่มันยากตรงที่เราจะรักษามันให้อยู่แบบนี้ได้อย่างไร ในขณะที่เรากำลังร่วงโรยไปเรื่อย ๆ
“ผมใช้การออกกำลังกายเป็นการซ้อมเดินแบบ เวลาออกกำลังกายก็คิดว่าเรากำลังเดินอยู่บนรันเวย์ พยายามเดินให้ตัวตรงที่สุดและแสดงความมั่นใจออกมาให้มากที่สุด บางครั้งก็ซ้อมเดินหน้าบ้าน หรือซ้อมเวลาเดินไปตลาด ไปฟิตเนส
“ถึงแม้ว่าการเดินแบบจะทำให้ผมประหม่า แต่ผมก็ยังอยากทำมันต่อไป เพราะอารมณ์หรือความรู้สึกประหม่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเยาว์วัย ผมอยากจะรักษาความรู้สึกแบบนี้ไว้ ถ้าไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนี้เลยก็เหมือนกับเราปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม ผมก็เลยคิดว่าการทำสิ่งที่เราไม่ถนัด สิ่งที่ทำให้ประหม่า เขินอาย เป็นสิ่งที่น่าทำและท้าทายสำหรับผม ผมคิดว่าผมยังสามารถแข่งขันกับตัวเองได้ ยังพัฒนาต่อได้ และไม่เคยคิดเทียบตัวเองกับคนอื่น
“จริง ๆ คนวัยนี้ยังทำอะไรได้อีกเยอะ ถ้าเราไม่คิดตามมายาคติที่ว่าอายุ 60 ปีแล้วจะต้องเกษียณ เราก็ยังคงใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอายุ 30 40 ปี อย่าปล่อยให้ร่างกายของเราบอกเราว่าเราเป็นอะไร ถ้าเราสามารถทำให้ตัวเองแข็งแรงได้ รักษาตรงนั้นไว้ ชีวิตใหม่ มายด์เซ็ตใหม่มันทำให้เราเข้าใจว่าวัยของเรา ไม่ใช่สิ่งที่จะมากำหนดสิ่งที่เราเป็น”