‘สังคมสูงวัย’ ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วจะเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า แต่เป็นความจริง ที่เกิดขึ้นและจะอยู่กับเราต่อไปเรื่อย ๆ
ในปี 2030 ทั่วโลกจะเข้าสู่ยุค Super Aged Society (ประชากรสูงวัยมากกว่าเด็กเกิดใหม่ 0-9 ปี) ผู้คนจะมีอายุยืนยาวขึ้น เด็กเกิดใหม่จะมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นได้เข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (มีประชากรสูงอายุไม่ต่ำกว่า 20%) มาตั้งแต่ปี 2020 แล้ว
เมื่อการออกแบบไม่ได้เป็นแค่การสร้างความสะดวกสบาย หรือความสวยงามให้กับสถานที่แต่คือการออกแบบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนทุกวัย
มนุษย์ต่างวัยสรุปเนื้อหาส่วนหนึ่งจากฟอรัมเสวนา ‘Design is More – ออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีกว่า FUTURE STAGE’ หัวข้อ ‘AGE INCLUSIVE DESIGN – ปรับดีไซน์ชีวิตเกษียณ เพื่อความ สะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว’ โดย ‘คุณใหม่ ประพันธ์ นภาวงศ์ดี’ กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Shma Company Limited จากงาน WOW Festival 2025 อัศจรรย์เมืองน่าอยู่ ที่จัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ ไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา
ปัจจุบันสังคมของเรามีความเป็น Active Ageing มากขึ้น ผู้สูงอายุยังมีร่างกายที่แข็งแรง ต้องการการเรียนรู้ การเข้าสังคม การทำกิจกรรมต่าง ๆ อยากใช้ศักยภาพและประสบการณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่ ดังนั้น โจทย์สำคัญในการออกแบบหรือสร้างสังคมสำหรับผู้สูงอายุนั้นจะต้องเริ่มจากการให้คำนิยามของความสูงวัยใหม่ว่าไม่ได้มองแค่เรื่องความสงบ เรียบง่ายเท่านั้น แต่จะต้องมีความยืดหยุ่นสูง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของวัยอิสระให้มากขึ้น และไม่ใช่การสร้างพื้นที่เพื่อแยกขาดจากคนวัยอื่น ๆ แต่คือการสร้างพื้นที่ในการอยู่ร่วมกับคนทุกวัยในสังคมได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) ตัวอย่างของงานดีไซน์เพื่อสังคมสูงวัย
เมื่อพูดถึงโปรเจกต์ที่ออกแบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย คุณใหม่ได้ยกตัวอย่าง จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงวัยโดยเฉพาะ โจทย์ก็คือหากจะสร้างสร้างเมืองสำหรับคนสูงวัย หน้าตาของเมืองนั้นจะออกมาเป็นแบบไหน แน่นอนว่ามันจะไม่ได้ออกมาในรูปแบบของบ้านพักคนชราที่ให้คนสูงวัยมาอยู่และทำกิจกรรมร่วมกัน แต่จะเป็นที่ที่เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่จะมีอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับคนสูงวัยมากขึ้น
สำหรับองค์ความรู้ที่ใช้เป็นแนวคิดในการทำงานของโปรเจกต์นี้ คือ ความต้องการพื้นฐาน 7 ด้านของคนสูงวัย ประกอบด้วย จิตวิญญาณ (Spiritual) การออกกำลังกาย (Exercise) สิ่งแวดล้อม (Environtmental) การเรียนรู้ (Vocational) สุขภาวะทางปัญญา (Intellectual) สังคม (Social) และอารมณ์ (Emotional) ซึ่งถ้าสามารถทำให้ทั้ง 7 ด้านนั้นเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้สูงวัยได้ ก็จะทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตที่ยืนยาวได้อย่างมีความสุข
หลังจากนั้นทางทีมดีไซน์ก็ตีโจทย์การทำงานออกมาเป็น 3 ด้านหลัก ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำงาน ประกอบด้วย สภาวะแวดล้อมที่ดีและการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนกับธรรมชาติ กายภาพที่เหมาะกับคนสูงวัย และการสร้างสังคมให้คนได้มาเจอกันและเรียนรู้ร่วมกันได้
ความตั้งใจในโปรเจกต์นี้คืออยากสร้างระบบนิเวศที่ดี สร้างป่าที่อุดมสมบูรณ์ให้คนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในนั้นได้ อีกจุดหนึ่งที่ต้อง คำนึงถึงคือการออกแบบกิจกรรม เพราะว่าเมื่อคนเราพ้นผ่านชีวิตการทำงานมา พอถึงช่วงวัยนี้จะเริ่มมีเวลามากขึ้น จึงต้องคิดว่าจะสร้างกิจกรรมอะไรที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตของผู้สูงวัยได้
อีกประเด็นคือคนไทยยังมีความเป็นครอบครัวขยาย ไม่ได้แยกขาดออกมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ดังนั้น ในการออกแบบพื้นที่จะต้องออกแบบให้มีความยืดหยุ่น คำนึงถึงเวลาที่สมาชิกครอบครัวหรือญาติพี่น้องแวะมาเยี่ยม หรือมาพักด้วย ต้องทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ที่คนหลากหลายวัยสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ คือ ชีวิต Senior Living ที่จะเริ่มต้นตอนอายุประมาณสัก 60-80 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่คนเราจะต้องการความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การออกแบบพื้นที่จึงต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยทางสุขภาพ ออกแบบให้สามารถใช้รถเข็นในห้องได้ รวมทั้งมีเดย์แคร์ที่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุฉุกเฉินด้วย
Toyama City เมืองกระชับที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย
จริง ๆ แล้วความสูงวัยนั้นกระจายตัวอยู่ทุกที่ การเปลี่ยนแปลงตรงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับเมือง เราจะทำแยกย่อยเป็นจุด ๆ ไม่ได้ ถ้าผู้สูงอายุไม่ได้อยากย้ายออกไปอยู่ชานเมือง เราจะทำอย่างไรให้เขายังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองร่วมกับคนวัยอื่น ๆ ได้
อย่างเคสของเมืองโทยามะ (Toyama) ประเทศญี่ปุ่นที่ปรับปรุงระบบรถบัสให้ผู้สูงอายุขึ้นได้เอง ฟื้นฟูสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางของเมือง และส่งเสริมให้ผู้คนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางขนส่งสาธารณะ ด้วยความที่ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมสูงวัยมาก่อนเรานานมาก จริง ๆ มีหลายเมืองเลยที่เขาปรับเมืองให้คนสูงวัยมาอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ หลักการก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้มันใช้ได้จริง ให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิต 24 ชั่วโมง 7 วัน หรือ 1 ปีของเขาด้วยตัวเองได้ เดินไปซื้อของได้ ทำกิจกรรมกับเพื่อนได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และยังสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวได้
จุฬาอารี – ไทยอารี โครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชน
ความแตกต่างของสังคมไทยคือ เรามีประชากรอยู่หลายระดับ มีคุณภาพชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากความสูงวัยทั้งหมด โจทย์ของประเทศไทยจึงมีมากกว่าความเป็นเมือง แต่จะมีเรื่องของความเป็นชุมชนด้วย ในช่วงโควิด-19ที่ผ่านมาทางจุฬาฯ มีเคส ที่เข้าไปช่วยปรับเปลี่ยนพื้นที่ในบ้านให้ผู้สูงวัยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น โดยทำงานร่วมกับคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ในชุมชน ใช้แอปพลิเคชันในการตรวจสอบว่าบ้านไหนมีผู้สูงอายุอยู่บ้าง เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น
Kampung Admiralty งานออกแบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยจากสิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่คุ้นชินกับการอยู่อาศัยทางตั้งอยู่แล้ว เขาทำแพลตฟอร์มออกมาเพื่อทดลองเลยว่าการอยู่อาศัยแบบสังคมสูงวัยควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งโจทย์ที่เขาตีออกมานั้นเขาไม่ได้พยายามจะแยกคนสูงวัยออกไป แต่ว่าเขาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของคนสูงวัย ของเด็ก ของครอบครัวไว้ด้วยกันแล้วจับมาเรียงกันเป็นทางตั้ง ในชื่อของ Kampung Admiralty โดยตั้งใจให้เป็นต้นแบบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งทุกอย่างในนั้นจะอยู่ใกล้กันหมด เช่น ศูนย์อาหาร เดย์แคร์ ที่รับฝากเลี้ยงเด็ก และยังมีสวนด้านบนอาคาร ผู้คนที่อยู่ที่นั่นจะไม่ต้องไปไหนไกล ๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มเปิดให้คนสูงวัยจองเข้าไปอยู่แล้ว
คุณภาพชีวิตที่ดีออกแบบได้เมื่องานดีไซน์และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ สอดคล้องกัน
ประเด็นที่น่าสนใจในประเทศสิงคโปร์คือ ในขณะที่ภาคเอกชนมีการออกแบบ หรือสร้างสถานที่ต่าง ๆ ภาครัฐก็มีการปรับเปลี่ยนกฎหมาย ข้อบังคับ และข้อกำหนดในการออกแบบเมืองต่าง ๆ พร้อมกันไปด้วย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นคุณใหม่ได้ยกตัวอย่างโครงการ Pasir Ris ซึ่งเป็นโครงการฟื้นฟูย่านชานเมืองริมทะเลของประเทศสิงคโปร์ ถึงแม้ว่าโครงการนี้จะไม่ใช่โครงการเกี่ยวกับ Senior Living แต่ก็เป็นโครงการที่สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะให้กับชุมชน
รัฐบาลเขาก็จะกำหนดมาเลยว่าการสร้างโครงการนี้จะต้องคืนอะไรกลับสู่สาธารณะบ้าง ต้องมีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่สาธารณะกี่เปอร์เซ็นต์ พื้นที่สาธารณะก็จะต้องมีความเป็นพื้นที่สาธารณะจริง ๆ ที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช้ได้โดยไม่ต้องอุดหนุนสินค้า หรือจ่ายค่าบริการอะไร ต้องมีที่นั่งทุก 30 เมตร มีความสะดวกสบาย และความ inclusive มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้พื้นที่ร่วมกันได้
เราทุกคนต่างก็อยากอยู่ในพื้นที่ที่สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเราได้ หากวันข้างหน้าที่เราเองเข้าสู่วัยสูงอายุ มีข้อจำกัดทางสภาพร่างกายมากขึ้น เราเองก็คงไม่ได้อยากย้ายจากที่ที่เราเติบโตไปไหน แต่แค่อยากใช้ชีวิตของเราได้ตามปกติในวันที่เราอาจจะมองเห็นอะไรไม้ เดินได้ช้าลง หรือยืนนาน ๆ ไม่ไหวก็เท่านั้น ซึ่งเมืองแบบนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร มีเทคโนโลยีหรือสิ่งอำนวยความสะดวกแบบไหน และมันจะเกิดขึ้นได้เมื่อไร นั่นก็คงเป็นเรื่องที่เราทุกคนคงต้องหาคำตอบนี้ไปพร้อมกัน
สำหรับใครที่สนใจเทรนด์และเรื่องราวการออกแบบต่าง ๆ ยังสามารถไปชมนิทรรศการและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ถึงวันที่ 19 มกราคม 2025 ณ พิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ