“รู้สึกดีที่ได้พาเขาออกเดินทาง ได้ยินเสียงเขาอยู่ข้างหลัง หันไปก็เห็นรอยยิ้มเขา มีความสุขที่เราได้อยู่ด้วยกัน เราไม่อยากเสียดายทีหลังว่ารู้อย่างนี้ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำนะ ทำตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”
วันเเม่ปีนี้ มนุษย์ต่างวัยชวนไปติดตามเรื่องราวความอบอุ่นของครอบครัวสองพี่น้องฝาแฝด ‘ขวัญข้าว ไม้พลวง’ และ ‘ข้าวหอม ไม้พลวง’ วัย 45 ปี ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพื่อจะได้มีเวลาให้พ่อแม่มากขึ้น ด้วยทักษะความชำนาญด้านคอนเทนต์ กราฟิก และการตลาด ทั้งคู่เลยผันตัวมาทำโซเชียลมีเดียของตัวเอง และเกิดไอเดียที่จะพาพ่อแม่ไปใช้เวลาด้วยกันในทุก ๆ ที่ ด้วยการเปลี่ยนรถบ้านให้กลายเป็นออฟฟิศเคลื่อนที่ แล้วพาพ่อแม่ออกเดินทางไปเปิดโลกกว้างด้วยกัน
ไม่อยากให้มีใครเป็นคนรอ
ข้าวหอมเล่าย้อนถึงชีวิตก่อนที่จะลาออกจากงานประจำให้ฟังว่า “เมื่อก่อนเราออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า กว่าจะกลับก็สองทุ่ม พอเลี้ยวรถกลับเข้ามาในบ้าน เราจะเห็นพ่อแม่นั่งอยู่ตรงประตู มานั่งมอง นั่งรอเรา เราก็เลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราได้ออกมาทำงานอยู่ที่บ้าน อยู่ด้วยกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน เวลาเราไปเจอที่ไหนสวย ๆ แล้วได้อยู่ด้วยกันมันก็คงจะดี
“เราอยากกลับมาทำงานกับครอบครัว ไม่ต้องตื่นเช้าออกไปทำงาน พอเห็นช่องทางในงานออนไลน์ เราก็ฝึกทักษะของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาตัวเองให้มีทักษะเพียงพอที่จะลาออกจากงานประจำ แล้วมาทำงานเองได้ เราอยากเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เราก็จะออกไปเก็บฟุตเทจตามที่ต่าง ๆ ออกไปถ่ายตามสวนผัก หรือไปทำอาหารในสถานที่สวย ๆ แสงสวย ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นผลงานที่หลากหลายมากกว่าการทำงานในครัว
“จริง ๆ ตอนที่ตัดสินใจออกมาทำงานเอง มันไม่ใช่แค่เราอยากกลับมาอยู่กับครอบครัว แต่เป็นเรื่องของรายได้ด้วย เพราะรายได้ที่เราได้จากงานประจำ บางทีมันก็อาจจะไม่พอกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การแต่งตัว หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง”
“เราต้องคิดถึงอนาคตด้วย พ่อแม่ก็อายุมากขึ้น ถ้าเรายังมีรายได้ที่จำกัดอยู่แค่ตรงนี้ ยังไม่มีรายได้เสริมเพิ่มเข้ามา เราจะทำอย่างไร ตอนที่เราลาออกมาพ่อแม่ไม่ว่าอะไรเลยนะ เขาไม่ถามด้วย แต่เราก็เข้าใจว่าเขาก็ต้องเป็นห่วง ลูกลาออกพร้อมกันสองคน เราก็ต้องพยายามขยันให้มากกว่าเดิม ทำให้เขามั่นใจว่าเราไปต่อกันได้” ขวัญข้าวเสริม
ออฟฟิศเคลื่อนที่ของทุกคนในครอบครัว
ข้าวหอมเล่าถึงช่วงที่เริ่มต้นพาพ่อแม่ออกเดินทางว่าถึงแม้จะมีอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่สุดท้ายการทำงาน การไปเที่ยว และการใช้เวลาร่วมกันของทุกคนในครอบครัวก็สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
“เมื่อก่อนพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าโซเชียลมีเดียที่เราทำคืออะไร เราถ่ายงานไปทำไม ทำเลอะเทอะกว่าจะได้กิน แต่พอมีลูกค้า มีผลงาน มีคนจ้างงาน เขาก็เข้าใจมากขึ้น เราก็ให้เขาดูโซเชียลเยอะ ๆ รับข่าวสารในช่องทางอื่นเพิ่มจากการดูทีวี พอเห็นว่ามันเกิดรายได้ เขาก็สนับสนุนและเข้ามาช่วย”
ขวัญข้าวเล่าต่อว่า “ช่วง 2-3 ปีแรกที่เราลาออกมา เราก็ใช้รถเอสยูวีในการเดินทาง ยังไม่มีรถตู้ เราก็ไปเที่ยวกันตลอด เดือนแรกเราพาเขาไปเชียงใหม่ทั้งเดือนเลย เพราะเรามีความรู้สึกว่า เรายังได้ไปเที่ยวทุกปี ไปเห็นที่สวย ๆ เห็นหมอก แต่พ่อกับแม่เขายังไม่เคยเห็น
“ช่วงแรกเขาก็ไม่อยากไป กลัวเปลืองเงิน บ่นว่าไปทำไมบ่อย ๆ อยู่บ้านเถอะ แต่พอเขาเห็นว่าไปแล้วมันเกิดรายได้ ได้ไปเห็นเด็ก ๆ วิ่ง มีบ้านโน้นบ้านนี้มาทัก เขาก็รู้สึกอบอุ่นและสดชื่นขึ้น
“ตอนนั้นใช้วิธีเที่ยวแบบกางเต็นท์ เพราะเรามีน้องหมาด้วย จะพักตามรีสอร์ท โรงแรมก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้อนุญาตให้เอาน้องเข้าพักได้ทุกที่ แต่ว่าเราต้องพาน้องไปด้วยตลอดเพราะเขาติดพ่อกับแม่มาก กลายเป็นว่าพ่อกับแม่เขาก็ชอบการกางเต็นท์กันไปเลย
“พอหลังช่วงโควิด-19 เราไม่อยากกางเต็นท์แล้ว เพราะเวลาเก็บมันเหนื่อย เราก็เลยคิดว่าเปลี่ยนมานอนในรถดีไหม แต่ถ้าเป็นรถเล็กก็จะไม่สามารถนอนได้สะดวก ก็เลยคิดว่าเป็นรถตู้ดีกว่า เราก็เลยไปซื้อรถตู้มือสองมา เพื่อให้เวลาที่พ่อแม่รอเราทำงาน เขาจะมีที่เอนหลัง มีที่ยืดขา นั่งแบบสบาย ๆ แล้วเราจะได้เดินทางกันได้ง่ายขึ้น”
ทีมเวิร์กที่ work (ด้วย) heart
ขวัญข้าวเล่าถึงทีมเวิร์กที่ดีที่สุดที่เธอมีว่า“ก่อนจะไปออกทริปแต่ละทริปเราจะดูว่าทริปนี้เราจะไปไหน ไปถ่ายอะไร ถ่ายให้ใคร มีเมนูอะไรบ้าง แม่จะเป็นคนจัดเตรียมวัตถุดิบ เครื่องปรุงเป็นชุด ๆ ส่วนพ่อจะเป็นคนจัดอุปกรณ์ เราก็จะมาบรีฟว่าเราจะไปแบบไหน ไปปิกนิกหรือไปค้าง ใช้อะไรบ้าง เอาโต๊ะตัวไหนไป พ่อเขาก็จะเตรียมไว้ให้ ตอนเช้าพอเราลงมาก็ออกเดินทางได้เลย
“เราเป็นคนเดียวในบ้านที่ขับรถได้ เวลาเดินทางเราก็จะเป็นคนขับ คอยคุยกับลูกค้า ส่วนน้องสาวเขาจะทำงานกราฟิก ช่วงที่งานเราเยอะ บางครั้งเราก็จะให้แม่เข้ามาเป็นหลักตอนถ่ายวิดีโอทำอาหาร เขาก็มีความสุขที่ได้มาช่วยลูก มีรายได้ และรู้สึกดีว่าอายุขนาดนี้แล้วเขายังทำประโยชน์ได้ ส่วนพ่อก็จะเป็นคนเก็บ คนจัดอุปกรณ์ต่าง ๆ
“การที่พ่อแม่เขาได้ช่วยงานเรา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่านะ ไม่ได้เป็นภาระ แล้วก็เป็นการดึงศักยภาพของเขาออกมาด้วย บางครั้งเราไม่ว่าง เราตั้งกล้องไว้ เราก็บอกให้พ่อถ่ายแม่ให้หน่อย ตรงไหนใช้ได้ไม่ได้ เราก็มาคัดกันอีกที พ่อเขาก็จะถามว่าใช้ได้ไหมลูก พอมีคอนเทนต์ลง เขาก็ดีใจว่าเขาก็ทำได้เหมือนกัน เราถ่ายคลิปทำอาหารมา 7 ปี ถ่ายมาเป็นพัน ๆ คลิป เขาเห็นเราทำทุกวัน เขาก็จะรู้ว่าเราจะใช้มุมนี้ จัดแบบนี้ เขาก็ได้ช่วยและค่อย ๆ ซึมซับไปเรื่อย ๆ”
จากโลกคนละใบกลายเป็นโลกใบเดียวกัน
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการที่ทุกคนได้อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดทำให้ลูกสาวอย่างขวัญข้าวสบายใจมากขึ้นที่ได้ทำงานที่รักและใช้เวลาอยู่กับคนที่รักไปพร้อม ๆ กัน
“พอได้ออกมาทำงานด้วยกัน ไปไหนมาด้วยกัน เราเห็นว่าทัศนคติเราตรงมากขึ้น เหมือนเราพูดไปทางเดียวกัน ไม่มีใครขัดกัน เหมือนกับโลกของพ่อแม่กับโลกของเรากลายเป็นโลกใบเดียวกันแล้ว”
ข้าวหอมเล่าต่อว่า “เราจะเดินทางกันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ พอวันศุกร์เย็นเราก็จะนั่งคิดกันแล้วว่าเสาร์-อาทิตย์นี้เราจะไปไหน จะไปหาคอนเทนต์ที่ไหน พ่อกับแม่เขาก็จะนั่งดูติ๊กต๊อกแล้วคอยเสนอว่าไปตรงนั้นตรงนี้ไหม ที่นี่ดอกไม้บานแล้วนะ ที่นั่นน้ำมาแล้วนะ เขาก็จะคอยหาข้อมูลให้เรา ทำให้เรามีเรื่องคุยกันมากขึ้น
“จริง ๆ เมื่อก่อนเราก็ชอบเที่ยวอยู่แล้ว แต่เราไปกับเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนในกลุ่มอินสตราแกรมที่เขาไปถ่ายรูปกัน เราก็ไปเที่ยวกันตลอด แต่ทุกวันนี้การที่เราไปเที่ยวมันคือการที่เราได้พาพ่อแม่ไปเห็นสิ่งที่เราเห็น เราชอบ แล้วเราก็ได้ไปด้วยกันทั้งครอบครัว เราพูดภาษาเดียวกัน กินข้าวด้วยกัน ทำนั่นทำนี่ด้วยกัน เหมือนกับว่าเราได้อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน 24 ชั่วโมง ไม่ต้องคอยห่วงกัน”
เราอยู่ด้วยกันแล้ว
ขวัญข้าวเล่าว่า “เมื่อก่อนช่วงหน้าฝน ฝนจะชอบตกตอนเย็น พ่อเขาก็จะรีบโทรหา ถามว่าเราถึงไหนแล้ว ฝนจะมาแล้ว เขาจะเป็นกังวลเรื่องการขับรถ ทุกวันนี้พอฝนตั้งเค้ามา พ่อเขาบอกว่าฝนครึ้มมาแล้ว แม่เขาก็จะพูดว่า ‘กลัวอะไร เราอยู่ด้วยกันแล้ว ลูกอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องห่วง’ มันได้อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน ไม่มีใครต้องมานั่งโทรว่าอยู่ไหนแล้ว กลับเย็นไหม
“พอเราได้ยินแม่พูดแบบนั้น เราก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วพ่อแม่เขาเป็นห่วงเราตลอดเวลา เมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่าเวลาอยู่ที่ทำงานเราเป็นอย่างไร เวลาเดินทางเราเป็นอย่างไร แต่การที่เราอยู่ด้วยกัน ในสถานที่เดียวกัน เขาก็จะไม่ห่วง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าลูกไปทำงานนะ ไม่มีอะไรหรอก ลูกก็อยู่ที่ทำงาน แต่ลึก ๆ ในใจเขาก็ยังเป็นห่วงว่าเราทำอะไรอยู่ กินอะไรหรือยัง”
เพราะเวลาคือของขวัญที่ดีที่สุด
“ในสังคมปัจจุบัน คนเราต้องพยายามแข่งขันเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ การที่เราใช้ชีวิตแต่ละวันมันก็หนักมากแล้ว เราก็คิดว่าพ่อแม่น่าจะเข้าใจ แต่พอลองนึกดูดี ๆ เราก็รู้ว่าจริง ๆ พ่อแม่เขาไม่ได้อยากให้เราประสบความสำเร็จอะไรมากมายขนาดนั้น เขาแค่อยากอยู่กับลูก อยากให้ลูกมีเวลาให้เขาบ้าง
“ภาระหน้าที่ของแต่ละคนมันก็ต่างกัน ความชอบในการทำงานก็ไม่เหมือนกัน เราโชคดีที่งานที่เราชอบมันทำให้เราอยู่กับครอบครัวได้ ถ้าเราไม่รัก ไม่ชอบมัน เราคงไม่พยายามที่จะศึกษา พัฒนาให้มันดี แต่เราชอบงานนี้จริง ๆ มันก็เลยเป็นการเอางานที่เรารักกลับมาทำที่บ้าน ทำงานกับครอบครัวได้
“หลายคนอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดเวลา แต่เราก็แบ่งเวลาให้พ่อแม่ได้ คุยกับเขาสักหน่อย ตอนเที่ยงกินข้าวแล้ว ตอนเย็นจะถึงบ้านแล้ว เวลาจะไปไหนก็โทรบอกเขาหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรา ถ้าอยู่ไกลกันก็หาเวลาไปพาเขาเที่ยวบ้าง 1-2 เดือนครั้ง วันหยุดยาวก็กลับไปคุยกับเขาบ้าง จริง ๆ แล้วสิ่งสำคัญมันคือการบอกพ่อแม่ว่าในแผนการชีวิตของเรา สิ่งที่เราทำมีพ่อแม่อยู่ด้วย แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว” ขวัญข้าวฝากทิ้งท้าย