“ 3 – 4 ปีก่อนโควิดมา เป็นจังหวะที่ดีมาก เป็นช่วงขึ้นของชีวิต งานสำเร็จ เงินโอเคดี ตอนนั้นลูกน้องในออฟฟิศประมาณ 50 คน ผมเช่าตึกทำอาคารออฟฟิศสวยงาม ออฟฟิศเราเหมือนในหนัง The Intern ฟีลนั้นเลย ทุกอย่างเพอร์เฟคมาก นึกย้อนไปก็มีความสุขมากครับ สนุกมาก พอเข้าช่วงโควิดผมเริ่มจัดการได้ไม่ดี บวกกับประสบปัญหาเรื่องความป่วยไข้ของตัวเอง ตอนนั้นเป็นโควิดเกือบตายนอน ICU ธุรกิจก็แย่ลง ต้องรับมือกับความผันผวนหลายด้าน
“ผมรู้ว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ ตอนนั้นออฟฟิศอยู่ในจุดที่เหมือนกับขาขึ้น เราคิดว่าเดี๋ยวเราลุย วางแผนกันต่อ ผมไม่อยากลดคน อยากให้อยู่ต่อด้วยกันทั้งหมด คงเพราะชอบเฉินหลงด้วยครับ พรรคพวกเยอะ ฮ่าฮ่า แล้วพอเข้าปีที่สามมันหนักแบบซึม ๆ เริ่มควักเนื้อตัวเองจนมันเข้าเนื้อมากเข้า ต้องยืมเงินจากญาติพี่น้อง ยืมเพื่อน ตอนนั้นเราพยายามเพราะมีความเชื่อว่าจะกลับมา แต่ความจริงคือเราไม่ได้กลับมา และเราไม่ยอมรับตัวเอง ไม่ยอมขยับปรับลดขนาดลง เราดื้อที่จะเป็นแบบเดิม ก็ประคองด้วยความสามารถตัวเอง ด้วยความช่วยเหลือ
“ตอนนั้นเราแบกคนอื่นไว้หมดเลย แต่ตัวเราเหมือนดำดิ่งลงไปโดยไม่รู้ตัว สุขภาพจิตสุขภาพใจก็แย่โดยไม่รู้ตัว เพราะมันแบกความเครียดแบกความกดดัน ช่วงแรกไม่ได้แชร์กับใครเลย แม้แต่กับทีม… เพราะผมไม่อยากให้คนรอบตัวเป็นทุกข์ เลยเลือกเก็บไว้ที่ตัวเองคนเดียว ไม่อยากให้คนอื่นไม่สบายใจ และตอนนั้นผมบอกตัวเองว่า ‘สิ่งที่แก้ไม่ได้ภายในวันนี้… ก็หยุดก่อน พรุ่งนี้เริ่มใหม่’ กระตุ้นตัวเองด้วยวิธีแบบนี้ วันนี้แก้ไม่ได้ ก็โยนทิ้งเลย เดี๋ยวกตัญญูคนพรุ่งนี้มันมาแก้ให้ แล้วพรุ่งนี้ก็เอาแรงใจมาแก้กันใหม่
“วันที่ผมยอมรับได้ คือ วันที่ลูกของพี่สาวแฟนเขากำลังย้ายโรงเรียน แล้วตอนอยู่ที่เดิมเขาเป็นคนที่เพื่อน ๆ รักมาก แต่วันนั้นเขาร้องไห้เสียใจเพราะย้ายไปโรงเรียนใหม่แล้วเหมือนไม่มีเพื่อน พ่อเขาก็บอกว่า ‘ไปที่ใหม่เราก็เป็นคนใหม่นะ เราเริ่มต้นใหม่ได้ตลอดนะลูกนะ’ คำสอนนั้นมันสอนผมด้วย ผมก็แบบ เอ้ย ไม่เป็นไร เราก็เริ่มใหม่มาตลอด ก็เริ่มใหม่อีกดิวะ
“เราเข้าใจมากขึ้นว่า ความสำเร็จที่เราเห็นและประเมินตัวเอง กับความสำเร็จที่เราต้องรอให้คนอื่นยอมรับมันต่างกัน บางครั้งงานที่เราทำมันดีที่สุดเท่าที่เราทำได้แล้ว แต่มันไม่ถูกยอมรับ เพราะงานเรานำเสนอให้กับคนจำนวนมาก คนจำนวนมากเขาก็ไม่ได้มานั่งคิดอะไรเกี่ยวกับเราหรอก เขาก็แค่ว่างานนี้มันโอเคไหม ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ได้ มันจะโอเค เพราะเวลางานมันสำเร็จในแบบของเรา แต่ไม่ได้สำเร็จในแง่การยอมรับ เราก็จะไม่ได้มองว่ามันล้มเหลว เพราะเราทำดีที่สุดในพาร์ทนี้แล้ว
“ถ้าจะดีที่สุดในพาร์ทต่อไป เพื่อให้คนอื่นมาสนใจมามองหา เราค่อยคิดต่อว่าควรแก้ตรงไหนอย่างไรบ้าง คิดเป็นทีละท่อน ทีละตอน ไม่ได้คิดรวบรัด เอาจริง ๆ ผมก็ไม่เคยคิดนะ มาพูดเรื่องกล้าเรื่องกลัวอะไร ผมก็ทำไป ไม่ได้มีใครมาบอกอะไรมากมาย ง่าย ๆ แบบนั้นเลยครับ
“แม่บอกกับผมว่าเราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น คนอื่นไม่ได้สนใจอะไรเราขนาดนั้น พอคิดได้แบบนี้มันเป็นยังไงรู้ไหมครับพี่ ก็คืออยากทำอะไรก็ทำ เราไม่ได้มาเชื่อมั่นอะไรตนเองขนาดนั้นหรอก ก็มีระแวง มีสงสัย แต่พอมีความคิดว่าอยากทำอะไร ถ้าทำได้ก็ทำสิ เลยไม่ได้มานั่งคิดอะไรมากมาย เราก็แค่ทำ เพราะเราไม่ได้กังวลอะไรกับคนอื่นเลย เราไม่ได้รู้สึกเลยว่าคนอื่นสำคัญอะไรกับเรา ในแง่ที่ว่าเราจะทำอะไรสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นสายตาหรือความรู้สึกของคนอื่นพอมันไม่มีผลกระทบกับเราแล้ว เราก็แทบจะไม่ต้องมากังวลเลยว่าเราล้มเหลว เราผิดพลาด เราแย่อะไรแบบนี้ เราก็แค่ทำ ๆ ไป และผมชอบมากเลย แต่ในแง่การทำงานผมจะคิดถึงคนอื่นนะว่างานตรงนั้นตรงนี้ควรเป็นอย่างไร
“ผมบอกน้องในออฟฟิศว่า เวลาที่แสงมันลงมาที่เรา สักพักเดี๋ยวมันก็สาดไปที่อื่น เราก็ทำงานของเราไป เดี๋ยวพอแสงมันม้วนกลับมาที่เราใหม่ เราก็ทำให้มันดี ผมเลยไม่ได้คิดว่าขณะที่เราล้มเหลวจะมีใครมาสนใจเรามาก ในขณะเดียวกันเวลาสำเร็จก็ไม่มีใครมาสนใจเรามากเช่นกัน เราเพียงไปโฟกัสสิ่งที่เราทำให้มากก็พอ”