ถ้าหากใครเป็นแฟนรายการท่องเที่ยวก็น่าจะคุ้นชื่อรายการ ‘หนังพาไป’ สารคดีเชิงท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมบนหน้าจอทีวีทางช่องไทยพีบีเอส นับตั้งแต่เริ่มต้นออกอากาศตอนแรกเมื่อปี 2553 ดำเนินรายการโดยสองคู่หู บอล – ทายาท เดชเสถียร และ ยอด – พิศาล แสงจันทร์ ที่ทั้งสองควบตำแหน่งเป็นทั้งนักเดินทาง พิธีกรรายการ ผู้สร้างสรรค์รายการ และคนตัดต่อ
เป็นเวลากว่า 10 ปีที่พวกเขาพาผู้ชมออกเดินทางไปด้วยกันตั้งแต่ซีซั่นที่ 1 มาจนถึงซีซั่นที่ 4 ก่อนที่จะหยุดพักการเดินทางของพวกเขาไปชั่วคราว 3 ปี และเร็วๆ นี้ ทั้งคู่จะกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในซีซั่นที่ 5 มนุษย์ต่างวัย ชวน บอล และ ยอด มาเปิดใจเล่าถึงประสบการณ์การทำงานตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทางบ้าง ใช้ความจริงของชีวิตเป็นเข็มทิศนำทางอย่างไร และคิดอย่างไรถ้าหนังพาไปเดินทางมาถึงซีซั่นสุดท้าย ร่วมออกเดินทางค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน
‘หนังพาไป’ เดินทางมาถึง 10 ปีแล้ว ไม่คิดเปลี่ยนใจทำอย่างอื่นบ้างเหรอ
ยอด : ตลอด 10 ปี ของการเดินทางของ ‘หนังพาไป’ นับตั้งแต่วันแรกที่ออกอากาศเมื่อปี 2553 เราทำเฉพาะหนังพาไปอย่างเดียวเลย ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเออ … ทำไมเราทำแค่นั้น” (หัวเราะ)
บอล : ผมก็เคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่า อยากลองทำอย่างอื่นบ้างไหม เพราะเวลา 10 ปี ถ้าเปรียบเทียบกับการเรียนมหาวิทยาลัยก็เท่ากับเราเรียนปริญญาตรีมาได้ 2 ใบแล้ว แต่พอมานั่งคิดทบทวนดูดีๆ แล้ว รายการหนังพาไปที่เราทำ โจทย์ของมันกว้างมาก มันครอบคลุมความต้องการของชีวิตเรา เราสามารถเล่าเรื่องในแบบของเราได้อย่างอิสระ คล้ายๆ ใช้ชีวิตไปกับมัน เพราะทุกอย่างเราทำตามความสนใจของเรา เวลาที่คิดว่าเราอยากจะทำรายการใหม่ๆ มันก็เลยหนีไม่พ้นความรู้สึกที่ว่า เราสามารถใส่สิ่งที่เราอยากจะทำใหม่ไปในหนังพาไปได้ เรียกว่ารายการนี้ตอบโจทย์ชีวิตของเราทั้งเรื่องความฝันและการเดินทาง เรายังได้พูดในสิ่งที่เราอยากพูด ได้ตั้งคำถามกับสังคม สุดท้ายไม่ว่าพยายามจะคิดรายการใหม่ สุดท้ายมันก็จะวนกับมาสู่รูปแบบรายการที่เราสร้างไว้นี้อยู่ดี ตลอด 10 ปีหนังพาไปมันตอบโจทย์ความฝันของเรามาจนถึงทุกวันนี้
กลุ่มเป้าหมายของ ‘หนังพาไป’ เป็นใคร
ยอด : เคยมีงานวิจัยจากช่องไทยพีบีเอสวิจัยกลุ่มคนดูรายการของเราผลออกมาว่า กลุ่มที่นิยมดูรายการของเราคือกลุ่มผู้สูงอายุ เราคิดว่าเพราะตอนนั้นเป็นการเปลี่ยนผ่านจากโลกทีวีไปสู่โลกออนไลน์ ซึ่งคนสูงอายุยังเป็นกลุ่มคนที่ดูทีวีอยู่ พอเขาได้ดูรายการเราก็อาจจะรู้สึกว่าชอบรายการนี้ คนดูที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุก็เลยจะมีค่อนข้างเยอะกว่ากลุ่มวัยรุ่น กับอีกหนึ่งอย่างที่ผมคิดก็คือลักษณะรูปแบบรายการของเรามันเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ประหยัดเงิน เราเดินทางด้วยรถเมล์ พักโรงแรมราคาถูกที่สุด บางทีนอนวัด นอนข้างถนน คนสูงอายุที่เขาโตมากับยุคข้าวยากหมากแพง มีชีวิตที่ลำบากในวัยเด็กต้องเน้นความประหยัดมีการเก็บสลึงพึงประจบให้ครบบาท เขาเห็นว่าเรารู้จักใช้เงินก็จะชอบ
บอล : มีแฟนรายการที่เป็นผู้สูงอายุหลายๆ คน เขามาคุยกับเรา พูดถึงสิ่งที่เราทำ เปรียบเราว่าเป็นตัวต่อเติมความฝันให้คนในยุคเขาที่ไม่สามารถทำได้ในวัยที่เขาเคยฝันแบบเรา กลายเป็นว่าเขานั่งดูเราก็เหมือนเขาได้มองดูความฝันตัวเองแล้ว
คิดอย่างไรเมื่อมีคนบอกว่าเราคือตัวแทนความฝันของพวกเขา
บอล : ผมเป็นคนที่ซีเรียสเรื่องความคิดความฝันมากๆ ครับ ก็เลยจะรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งเราได้ทำงานก็อยากจะทำงานตามสิ่งที่เราฝันไม่ต้องไปนั่งทำงานเพื่อทำตามความฝันของใคร ถ้างานกับความฝันเป็นสิ่งเดียวกันได้คือความโชคดีที่สุดในชีวิต แต่ว่าพอมาถึงวัยนี้แล้วเรามองย้อนกลับไปมันไม่ใช่คนทุกที่จะมีโอกาสทำตามฝันที่ตัวเองอยากทำได้ เพราะติดเงื่อนไขในชีวิต อย่างเช่นผมเป็นลูกคนเดียวช่วงแรกๆ ที่คิดจะทำหนังพาไปมันยากมาก เพราะว่าลูกคนเดียวพ่อกับแม่ก็จะคาดหวังเยอะ ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยผมเรียนวิศวะซึ่งตอนเรียนก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ชอบแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะเลือกด้วยตัวเอง พ่อก็คาดหวังว่าจะต้องเรียนเก่ง จบไปทำงานได้เงินเดือนต้องเยอะ แต่พอเราเรียนจบเราพบว่ามันไม่ใช่ทางที่เราอยากไป ก็เลยตัดสินใจว่าเราจะให้เวลาตัวเองหลังเรียนจบ 10 ปี คืออยากเดินไปไหนไป อยากลองอะไรลอง อยากทำอะไรทำ แต่ให้เวลาถึงแค่นี้ถ้ามันยังไม่สำเร็จเราก็จะยอมแพ้และก็เข้าสู่ระบบการทำงานตามที่เราเรียนมา ระหว่างนี้เราก็ทำให้พ่อกับแม่เขาเห็น แต่เขาก็กดดันเราสารพัดวิธี ตัดใบรับสมัครงานมาแปะตามตรงโน้นตรงนี้ของบ้านให้เราเดินไปเจอโดยบังเอิญบ้าง สุดท้ายพอรายการที่เราทำมันได้ออกอากาศ แต่เราก็ยังต้องพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็นอีกอยู่ดีว่ารายการที่เราทำคนดูจะชอบไปอีกนานแค่ไหน กลายเป็นความกังวลว่าคนดูจะชมและจะจำเราได้อีกนานไหม เพราะยังไงพ่อกับแม่เขาก็เป็นห่วงเราไม่เลิก
นอกจากนี้ผมว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่พอถึงวัยกำลังออกตามหาความฝันแต่พ่อแม่ป่วย เราไม่สามารถที่จะทิ้งพ่อแม่แล้วออกมาตามหาความฝันได้ ตลอด 8-9 ปีแรกเราออกไปพูดตามมหาวิทยาลัยว่าน้องๆ ต้องตามหาความฝันนะ แต่เราไม่เคยค้นพบเลยว่าคนที่เขามีเงื่อนไขเขาทำแบบนั้นไม่ได้ พอมาวันนี้เราเลยรู้สึกว่า
ถ้าใครมีโอกาสทำตามความฝันก็ทำ แต่ถ้าใครไม่สามารถทำได้ก็ให้ทำภายใต้เงื่อนไขที่สามารถทำได้ให้ดีที่สุด
ในขณะที่โลกเปลี่ยนไปรายการท่องเที่ยวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
แต่ บอล และ ยอด ยังคงใช้ความจริงของชีวิตขับเคลื่อนความฝันและงานที่รักไปพร้อมๆ กัน
ยอด : ที่เรายังสามารถทำงานได้นานๆ เราใช้วิธีหยุดเมื่อเรารู้สึกเหนื่อยกับมัน พอเราหยุดแล้วเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันและลืมว่าเราเคยทำอะไรมา เมื่อเราต้องการทำมันอีกครั้งก็มาเริ่มต้นกันใหม่ เรียนรู้รูปแบบใหม่ๆ เหมือนค่อยๆ เรียนการจับพู่กันเพื่อที่จะจะวาดรูป หนังพาไปมันก็เหมือนงานศิลปะของเราเอง ถามว่าเราทำแบบนี้ดูโรแมนติกแล้วเราเอาอะไรกิน คือเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงิน ไม่ได้เอาเงินมาเป็นหลักคิดว่าต้องทำงานทุกวันเพื่อให้ได้เงินมาทำรายการต่อเรื่อยๆ แต่เรามีน้อยเราก็ใช้น้อย เวลาที่ต้องการหยุดพักก็จะเหลือเงินไว้ใช้ได้เรื่อยๆ ระหว่างหยุดพักเราก็ศึกษาหาข้อมูลเตรียมทำซีซั่นใหม่
บอล : แล้วเดียวนี้มีรายการท่องเที่ยววัยรุ่นผุดขึ้นมาใหม่เยอะมากบนออนไลน์ ถามว่าเราอยู่อย่างไร เราก็รู้สึกท้อนะ ตื่นมาแล้วพบว่าโลกมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ผู้ชมพูดคนละภาษากับเรา เขาไม่ชอบดูจังหวะการเล่าเรื่องในแบบเราแล้ว แล้วพอมาคิดว่าวันหนึ่งเราจะต้องขยับเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ พอไปศึกษาบางทีเรารู้สึกว่าบางอย่างที่เราต้องทำ ทำให้เรารู้สึกอึดอัด ถ้าเราเกิดช้ากว่านี้สัก 10 ปีเราคงจะเข้าใจวิธีคิดของโลกออนไลน์หลายร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนที่เด็กๆ ยุคใหม่เขาเข้าใจกัน แต่เราโตมาในยุคทีวีที่เป็นช่วงรอยต่อของยุคออนไลน์ ทำให้เรารู้สึกท้อ ท้อกับการที่เรารู้สึกว่าเราตามโลกหรือตกเทรนด์ไปหรือเปล่า แต่ถ้าถามตัวเองว่าเราอยากดูอะไร เราก็จะยังพยายามทำในแบบที่เราอยากดูนะ เรายังยึดการเล่าเรื่องด้วยกราฟฟิกแบบเก่า แต่ถ้ามีอันใหม่มาแล้วเราชอบเราก็ปรับ
ยอด : ส่วนตัวผมถามว่าเราควรจะเปลี่ยนไปตามโลกไหมเพื่อเรียกร้องผู้ชม วันหนึ่งเราก็ได้คำตอบว่าถ้าเกิดเราเปลี่ยนแล้วมันไม่ใช่ตัวเราแต่มันกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้วไม่มีฐานความคิดที่มันเป็นแก่นของเราเลย ผมคิดว่ามันจะออกมาเป็นงานที่ไม่มีคุณภาพอย่างที่เราอยากดู เพราะฉะนั้นถ้าจะเปลี่ยนจริงๆ เราเปลี่ยนได้แต่เราก็ต้องยอมรับว่าเราเปลี่ยนแปลงได้แต่ต้องเปลี่ยนโดยที่เราคิดว่ามันจะสนุกแล้วท้าทายกับเรา
บอล : เราคิดว่าตอนนี้เราอยู่ในจุดที่มันสมดุลแล้วถ้าต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อจะตามเอาใจผู้ชมไปเรื่อยๆ แล้วเราเหนื่อย สุดท้ายเราก็อาจจะลืมว่าเราเป็นใคร
การเดินทางไปมากว่า 20 ประเทศทั่วโลก ทำให้เติบโตและมองโลกกว้างขึ้นอย่างไร
บอล : การเดินทางตั้งแต่วันแรกที่ทำรายการจนมาถึงซีซั่นล่าสุด เรารู้สึกตัวเองเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เดินทาง ตอนที่ได้ไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกเราก็มักจะสนใจแลนมาร์ค สนใจสถานที่สำคัญในประเทศนั้นๆ แล้วก็เคยตั้งปณิธานเลยว่ารายการจะไม่พูดเรื่องประวัติศาสตร์ จะไม่มายืนบอกว่าโบสถ์นี้สร้างในปีไหน เพราะเรารู้สึกว่าเราฟังมาตั้งแต่เด็กมันไม่เคยเข้าหู ไม่เข้าหัว ไม่รู้จะพูดให้คนดูฟังทำไม ช่วงแรกๆ สิ่งที่เราทำคือ เวลาที่เราไปเห็นโบสถ์ที่เขาสร้างใหญ่มากๆ แล้วนาทีนั้นเรารู้สึกอย่างไร เราจะเอาตัวเองไปยืนตรงนั่นให้เรารู้สึกว่ามนุษย์ตัวนิดเดียวแต่พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก เราต้องศรัทธา เราต้องถ่ายทอดเรื่องพวกนี้ออกมาผ่านภาพผ่านการเล่าเรื่อง แล้วก็ตั้งใจว่าจะยึดคติในหนังพาไปที่ว่า อยากได้สาระไปหาในอินเทอร์เน็ตเอา มาอยู่กับเราต้องได้สัมผัสความรู้สึกที่ว่าถ้าไปอยู่ตรงนั้นจะมีความรู้สึกอย่างไร แต่พอเวลามันผ่านไปแล้วเรากลับมาค้นพบว่า ที่เราไปยืนตรงนั้นถ้าเรามองไปทางซ้ายอีกนิดเดียวจะเจอกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก แล้วผู้ชมก็จะสนุกกับมันอีก 10 เท่า แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เพราะเราไม่ได้อ่านอะไรไป ไม่ได้ศึกษาอะไรไปเลย สุดท้ายมันเกิดเป็นความเสียดาย
พออายุของเราเพิ่มมากขึ้นเราเริ่มสนใจประวัติศาสตร์ เราเริ่มรู้สึกว่าสาระก็สามารถทำให้การเที่ยวของเราสนุกได้อีกแบบ การเดินทางของเราก็เลยปรับเปลี่ยนจากไม่เน้นสาระก็ดึงประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง พอเราไปเห็นโบสถ์ที่ 10 ก็จะไม่เอาแต่ตื่นเต้นกับความอลังการเหมือน 10 ครั้งแรก แต่เราจะเริ่มตื่นเต้นกับประวัติศาสตร์
ยอด : พออายุมากขึ้นเราไม่ได้แค่สนใจประศาสตร์อย่างเดียวนะ แต่กลายเป็นว่าเราอยากจะรีบเก็บเกี่ยวการเดินทางก่อนที่เราจะตาย มันถึงขั้นที่เราแก่จนมีความรู้สึกว่าต้องรีบทำแล้วก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำ” หัวเราะ
การเดินทางทำให้เราค้นพบอะไรในตัวเอง
บอล : การเดินทางทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะถ้าเราอยู่แต่ในเชฟโซนอยู่แต่ในพื้นที่ที่เราคุ้นเคยเหมือนเราจะเข้าห้องน้ำก็เดินไปเปิดไฟโดยที่เราไม่ต้องคิดอะไรเลยทุกอย่างเป็นไปอัตโนมัติหมด แต่ไปอยู่ต่างที่ต่างถิ่น การเดินทางมันทำให้เราต้องคิดทุกอย่างเพราะมันแปลกใหม่ไปหมด เราจะเห็นตัวเองเลยว่าเรากำลังรู้สึกนึกคิดอะไร เจอสถานการณ์ในชีวิตประจำที่เราไม่ได้เจอมันทำให้รู้ว่าเวลาเราโกรธเราโกรธได้แค่ไหน เวลาเรากลัวเรากลัวได้ขนาดนี้เลยเหรอ หรือเวลาที่เราช็อกเราเป็นแบบไหน ซึ่งชีวิตประจำเราจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นตัวเองแบบนี้ อย่างทริปที่ไปมาล่าสุดที่อยู่ในระหว่างตัดต่ออยู่ มันก็พาไปเจอกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวน่าตกใจมาก คือโดนโจรกรรมในต่างประเทศ ซึ่งชีวิตประจำวันก็คงไม่ได้เจอง่ายๆ เราได้เห็นตัวเองเลยว่าตอนเราโดนเราตกใจกลัวขนาดไหน เราต้องไปสถานีตำรวจในประเทศที่เราพูดภาษาเขาไม่ได้ ถ้าอยู่บ้านเราเองเดินไปแล้วแจ้งความก็จบ แต่อยู่ที่นั่นเราไร้อำนาจในการปกป้องตัวเอง และไม่มีใครสามารถปกป้องเราได้
ยอด : เวลาที่เรากลับมาดูสิ่งที่ถ่ายไปเห็นตัวเองในภาวะนั้นเหมือนเราเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่เข้าไปเล่นนั้น พอเราตัดต่อเรากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์นั้นอยู่ เราก็จะเห็นว่าที่คนนี้ทำแบบนี้คืออะไร ที่คนนี้เริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้เพราะอะไร หรือว่าทำไมช่วงนี้เราสติหลุดขนาดนี้ แล้วจริงๆ เราต้องทำยังไง ดูภาพทีละเฟรมแล้วเรียนรู้ไปกับมัน
บอล : เวลาตัดต่อเราก็จะเขินตัวเองเพราะเราอาย แต่พอหลังๆ เริ่มรู้สึกว่าทำแบบนี้รายการมันจืดผมเวลาตัดต่อก็เลยจะปล่อยให้เป็น “ไอ้บอลไอ้ยอด” ที่เราไม่รู้จักแต่รู้ว่าเราอยากเล่าเรื่องการเดินทางของ 2 คนนี้ยังไงเราก็จะปล่อยให้ตัวเองเป็นตัวละครไปเลย เวลาเราเจอรีแอคชั่นแปลกๆ เราจะเห็นว่าบอลยอดที่เราถ่ายมาเขาตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบไหน มันทำให้เราเห็นตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ
คิดอย่างไรถ้าซีซั่นสุดท้ายของหนังพาไปมาถึง
ยอด : เรารู้สึกมาตลอดว่าทุกซีซั่นเป็นซีซั่นสุดท้ายของเรา เพราะเวลาทำงานเราจะมีความคิดที่ว่าอยากจะทำให้มันดีที่สุดก่อนเราจะตายหรือก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีก
ตอนนี้เราเดินทางมาถึงซีซั่นที่ 4 และกำลงจะทำซีซั่นที่ 5 เราไม่กล้าจินตนาการไปถึงซีซั่นที่ 7 8 9 เพราะว่าไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย เพราะแต่ละซีซั่นที่ทำมาเราจะใส่พลังลงไปหมด พอพลังมันถูกดูดลงไปในงานหมดแล้วมันจะเหือดแห้งไปหมด มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราทำแล้วเราถึงหยุดไปเป็นปี เพราะว่าแรงบันดาลใจอะไรมันถูกดูดหายเข้าไปในงานที่ผลิตออกมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในตัวเลย สิ่งที่ทำได้คือพัก เพื่อที่จะเอาเวลาไปเติมพลังชีวิตให้กลับขึ้นมาใหม่หรือว่าให้เกิดแรงบันดาลใจขึ้นอีกครั้ง
บอล : จริงๆ ก็บอกตัวเองอยู่เสมอว่าเรามองงานเราเป็นงานศิลปะไม่ใช่งานทีวี ไม่รู้ว่าคุณผู้ชมจะนิยามเหมือนเราหรือเปล่า แต่เราไม่ได้ทำเพื่อให้มันมีออกอากาศส่งแล้วจบไป แต่ละเทปสำหรับเรามันมีความหมาย