“ชีวิตตอนนั้นเหมือนล้มทั้งยืน เป็นหนี้ 3 ล้าน เพราะถูกโกงแชร์ และลงทุนเกินตัว มันแย่ที่สุดในชีวิต เราไม่รู้เลยว่าเราจะหาเงินมากขนาดนั้นมาปลดล็อกตัวเองจากหนี้ได้อย่างไร มันมืดแปดด้านหาทางออกไม่เจอเลย หนักที่สุดเคยถูกเจ้าหนี้ให้มือปืนขู่ฆ่าเอาชีวิต ตอนนั้นถึงจะท้อมาก แต่ก็ไม่ยอมแพ้นะ รู้แค่เพียงว่าต่อให้ล้มสักแค่ไหนต้องกลับมายืนขึ้นอีกครั้งให้ได้
“สมัยก่อนเราทำงานด้านการเงินอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ในจังหวัดภูเก็ต ในตอนนั้นถือว่าตัวเองเป็นคนที่มีเงินคนหนึ่ง ไม่ลำบาก ซื้อที่ดินด้วยเงินสด ใส่แหวนทุกนิ้ว มีชีวิตที่สุขสบาย แต่ก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ต้องเลือกทิ้งเงินทอง กลับบ้านที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อกลับมาดูแลแม่ที่อายุมากขึ้น ทำให้ ต้องเปลี่ยนชีวิตจากพนักงานเงินเดือนสู่การเป็นเกษตรกรสวนยาง”
ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ปรับตัวเป็นเกษตรกร
“เราต้องมาเริ่มเรียนรู้การเป็นเกษตรกรใหม่ทั้งหมดเพราะทำอะไรไม่เป็นเลย ใช้เวลาถึง 10 ปีในการปรับตัวเรียนรู้เป็นเกษตรกร จากจับเงินหลักหมื่น มาจับเงินหลักร้อย บางวันทำงานหาหน่อไม้เกือบ 4 ชั่วโมงได้เงินแค่ 4 บาท พอเราปรับตัวได้ เราก็เริ่มมีเงินมากขึ้นเก็บเงินได้หลายแสน มีลานยางพาราเป็นของตัวเอง เป็นที่น่าเชื่อถือของคนในหมู่บ้าน ความรู้สึกตอนนั้นคิดว่า ฉันต้องมีให้มากกว่าสมัยเป็นมนุษย์เงินเดือน จะต้องมีบ้านใหม่ รถใหม่ให้คนอื่นยอมรับว่าเราเป็นเศรษฐีคนหนึ่งในหมู่บ้าน”
คิดไกล ใหญ่เกินตัว
“ตอนนั้นพอเรามีเงินเราก็ตัดสินใจใช้วิธีเอาเงินต่อเงิน คิดว่าคือหนทางที่ทำให้เรารวยเร็วและได้เงินเยอะ ก็ผันตัวเองมาเป็นท้าวแชร์ วงแชร์ตอนนั้นมีทั้งหมด 42 คน วันแรกที่เปิดแชร์ก็ได้เงินมาเลยหลักแสน เราก็เอาไปซื้อที่เลยเพื่อที่จะสร้างรีสอร์ต ตอนนั้นในใจคิดว่าฉันจะกลับมาสบายอีกครั้ง แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เพราะความที่เราไว้ใจทุกคน ในที่สุดก็มีคนที่ได้เงินแชร์ไปแล้วไม่ยอมส่งเรา เราเลยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
ทั้งกู้ ทั้งลงทุนมาใช้หนี้ จากหนี้หลักแสนกลายเป็นหลักล้าน
“ต้องไปกู้เงินนอกระบบมาเพื่อจ่ายให้สมาชิกแชร์ที่เหลือในฐานะที่เป็นท้าวแชร์ เราต้องรับผิดชอบให้ทุกคน เรารู้ว่าดอกเบี้ยมันโหดมาก แต่เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือกเหลือแล้วก็จำเป็นต้องยอม สุดท้ายจากยอดหนี้จริงเพียงหลักแสน ดอกเบี้ยทบต้นทบดอกสะสมกลายเป็นหนี้ 3 ล้าน ตอนนั้นไม่รู้จะใช้คำอธิบายกับชีวิตว่าอย่างไรมันเหมือนเรารับไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และที่แย่ไปกว่านั้นคือพอเป็นหนี้ก็ยังไม่หยุดกู้ ตัดสินใจกู้เงินในระบบเพิ่ม เพื่อหวังทำธุรกิจรับซื้อเศษยางให้ปลดหนี้ได้ สุดท้ายก็ขาดทุน กลายเป็นหนี้ซ้ำสองวนหาทางออกไม่เจอ”
เจอมือปืนขู่ฆ่าถ้าไม่คืนเงินต้อง “ตาย”
“พอรู้ว่ายอดหนี้กำลังท่วมตัวก็ช็อกไปเลย 3 วันแบบนอนติดเตียงทำอะไรไม่ได้ ร้องไห้อย่างเดียว และหนักที่สุดคือมือปืนมาถึงหน้าบ้านเพื่อทวงหนี้เอาปืนมาจ่อที่หน้า หัวใจมันหล่นตุบ ฉันจะต้องตายแน่ๆ ฉันจะทำอย่างไรกับเงิน 3 ล้านนี้ดี ต้องทำสวน ทำเกษตรอีกกี่ปีกว่าจะปลดหนี้ได้ ไหนจะค่าเทอมลูก ค่าผ่อนรถ ทุกอย่างมันแย่ไปหมด หาเงินได้เท่าไร ก็ต้องเอามาใช้หนี้ แม้ชุดชั้นในขาดยังไม่มีเงินจะซื้อ จนแม่มาพูดว่า ท้อไปทำไม สมัยก่อนแม่มีหม้อข้าวแค่ 2 ใบ ยังเลี้ยงลูกมาได้ตั้ง 12 คน ถ้าท้อให้ลุกขึ้นไปทำงาน ทำงานให้หายเครียด ทุกคนในครอบครัวคือแรงผลักดันทำให้เราตัดสินใจว่าจะเลิกท้อ และต้องสู้จะปลดหนี้ให้ได้”
ใช้ปัญญาหาความรู้ สู้หนี้
“ตอนนั้นเราก็พยายามทำทุกทาง ไม่หยุดตัวเองแค่การเป็นเกษตรกรเพราะตั้งใจว่าต้องปลดหนี้ให้ได้ ก็เลยพยายามทำทุกทางไม่ว่าจะเป็นเข้าร่วมโครงการต่างๆ ทั้ง OTOP การสร้างรายได้จากของในท้องถิ่น เพื่อเพิ่มช่องทางในการหารายได้ อบรมมาหลายต่อหลายอย่าง ที่ไหนมีโอกาสที่จะทำให้เราสร้างเงินได้ที่นั่นต้องมีสายชลในงานเพื่อวิ่งหาโอกาสนั้น จนกระทั่งมาเจอกับโครงการพลังชุมชน ซึ่งสอนให้รู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มของสิ่งของในท้องถิ่น การวางแผนการตลาด หาช่องทางการขายที่มากกว่าส่งพ่อค้าคนกลาง เพิ่มเรื่องราวของสินค้าและการทำแบรนด์ รวมไปถึงการกระจายความเสี่ยงของรายได้ จากที่เราเป็นแค่ชาวบ้านชาวสวนธรรมดาก็เหมือนเริ่มเห็นโลกภายนอก เห็นโอกาสที่จะหาเงินได้มากขึ้น ที่สำคัญเราได้เพื่อนใหม่ได้เครือข่ายเพิ่มขึ้น และเราปรึกษาอาจารย์ที่มาอบรมได้ด้วยถ้าเรามีอะไรสงสัย”
ยิ้มสู้ ลงมือทำ พบความสุข
“พอมาอบรมเราก็มองเห็นโอกาส ที่สำคัญคือเราต้องลองทำจริง โดยเริ่มจากการขายมังคุดอินทรีย์ผ่านทางช่องทางออนไลน์ จากปกติเคยขายตามท้องตลาดจะขายได้วันละ 50 กิโลกรัม แต่พอขายผ่านทางออนไลน์โดยใช้จุดขายเป็นมังคุดอินทรีย์ ทำให้คนซื้อได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากเกษตรกรตัวจริง ก็สามารถพลิกชีวิตทำให้วันนั้นขายหมด 1 ตัน 1,000 กิโลกรัม ในวันเดียว พอหมดหน้ามังคุดถ้าเป็นแต่ก่อนเราก็จะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรนอกจากรับจ้าง แต่ตอนนี้เราเห็นโอกาสก็หันมาหยิบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในท้องถิ่นมาขายในออนไลน์และกระจายไปยังเครือข่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศที่เรารู้จักจากการอบรม ซึ่งปัจจุบันความรู้ที่เราได้จากการลองผิดลองถูกก็นำมาสู่การสร้างแบรนด์ของตัวเองภายใต้ชื่อ ‘หมูฝอยน้ำผึ้งเดือน ห้า ๙ ด่านความเลิศรส’ ที่สร้างจุดต่างคือผสมคุณค่าทางสารอาหารจากน้ำผึ้งซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดี เราทำเพื่อเป็นรายได้หลักในวันที่ผลผลิตทางการเกษตรเรายังไม่พร้อมออกจำหน่าย
“จากวันนั้นจนวันนี้เราสู้หนี้มาตลอด 13 ปี ลองทุกอย่างจนรู้ว่าอะไรคือทางที่ใช้ในการหารายได้ จนในที่สุดผลของความพยายามทำให้เรามีไอเดียในการต่อยอดรายได้ทั้งสร้างแบรนด์ หาสินค้าในท้องถิ่นมาส่งต่อ การขายออนไลน์ สร้างเครือข่าย ทำให้เดินทางมาถึงวันที่สามารถปลดหนี้ได้ 1.5 ล้านได้ภายใน 1 ปี
“อยากให้กำลังใจคนที่ท้อและเป็นหนี้ สิ่งที่คุณต้องทำคือสู้ ชีวิตคุณไม่ได้ล้มเหลวและจบที่การเป็นคนมีหนี้ ตราบใดที่ลุกขึ้นสู้ เราเชื่อว่าย่อมไม่มีคำว่าแพ้”
สายชล รักกำเหนิด อายุ 45 ปี