รายงานของ The Pew Research Center (องค์กรที่วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางศาสนาต่อสังคมทั่วโลก) ระบุว่า สถิติของ ‘คนไม่มีศาสนา’ เพิ่มสูงขึ้นจาก 35 ล้านคน เมื่อปี 2008 มาเป็น 1,100 ล้านคน ในปี 2019 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี นั่นหมายความว่า ศาสนาเริ่มกลายเป็นทางเลือกมากกว่าทางหลักที่ผู้คนใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ซึ่งสิ่งที่ช่วยสะท้อนได้ดีก็คือการเติบโตของธุรกิจสายมู ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น การดูดวงออนไลน์ด้วยศาสตร์ไพ่ทาโร่ต์ เสริมดวงชะตาชีวิตด้วยวอลเปเปอร์หน้าจอมือถือ ไปจนถึงการบูชาเครื่องรางทางสายมู เพื่อส่งเสริมให้สิ่งที่ปรารถนาสัมฤทธิ์ผล หรือแม้แต่เรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันอย่าง “วันนี้ใส่เสื้อมงคลสีอะไรดี”
อะไรทำให้เรื่องมูเตลูเหล่านี้มาแรงแซงศาสนาในกลุ่มคนรุ่นใหม่
วันนี้มนุษย์ต่างวัยคุยกับ ‘มูเตเวิร์ล Mootae World’ กลุ่มคนเจนฯ วาย ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อจนสามารถสร้างรายได้หลักล้านต่อเดือน พวกเขาเชื่ออะไรและมีรูปแบบในการทำธุรกิจจากความเชื่อนี้อย่างไร ชวนกันมาค้นหาคำตอบในโพสต์นี้
‘มูเตเวิร์ล’ ธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อทางสายมู โดยคนเจนฯ วาย ที่ขายได้จริงในยุคดิจิทัล
เบื้องหลังมูเตเวิร์ล ผู้นำเทรนด์ ‘วอลเปเปอร์เสริมดวงชะตา’ เกิดจากกลุ่มคนเจนฯ วาย 5 คน ที่มีความเชื่อในเรื่องเดียวกัน และสนใจในด้านของศาสตร์และศิลป์ของดวงชะตา นำทีมโดย แม่หมอพิมพ์ฟ้า – พิชา กุลวราเอกดำรง แม่หมอแอเรียล – พิมฉัตร์ วิบูลย์ธนินกุล แม่หมอกิโกะ – จินเจษฎ์ ประเสริฐสิริชล ฝน – สุภัทร์พร โปสกนิษฐกุล และ กุโร่ – อภิชา อินทรกำแหง
เมื่อส่วนผสมลงตัว มูเตเวิร์ลจึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้ความตั้งใจที่อยากทำให้เรื่อง ‘มูเตลู’ เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และมีแนวคิดการออกแบบโปรดักส์มาให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่สวยงาม สบายใจ มูแล้วไม่รู้สึกเคอะเขิน ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย จนหลายคนพร้อมที่จะควักตังค์จ่าย
“พวกเรามองว่า มูเตเวิร์ลเป็นจุดศูนย์รวมความสบายใจ เป็นเหมือนที่พึ่งพาทางใจของผู้คน เราพยายามที่จะออกโปรดักส์ที่เกี่ยวกับความเชื่อและเป็นสิ่งที่พวกเราเองก็เชื่อหมดใจว่าสิ่งที่เราทำออกมาจะช่วยให้ผู้คนมีความมั่นใจ พร้อมที่จะสู้กับชีวิตในแต่ละวัน เช่น วอลเปเปอร์เสริมดวงบนหน้าจอมือถือ หรือว่าสินค้าเสริมดวงอื่นๆ ที่ทำให้คนมูยุคใหม่ มูแบบไม่ตะโกน มูแบบไม่เขินอาย ไม่จำเป็นต้องพกพระเครื่อง แต่เป็นอะไรที่สามารถใช้มันในชีวิตประจำวันได้อย่างธรรมชาติ
“เพราะฉะนั้น เราจึงมองว่า มูเตเวิร์ลคือจุดศูนย์รวมของความสบายใจที่ทุกคนอยากจะเชื่อ ทุกคนอยากจะลองทำดู เพื่อทำให้ตัวเองได้ไปสู่อีกจุดหนึ่งที่เราต้องการ โดยที่เราจะมีบริการทั้งศาสตร์การดูดวง และเครื่องรางทางสายมู
“ส่วนใหญ่คนที่มาหาเรา อันดับหนึ่งเลยคือต้องการเสริมดวงการเงิน โชคลาภ อันดับสองเป็นเรื่องของการงาน รองมาก็จะเริ่มเป็นเรื่องความรักความสัมพันธ์ และเรื่องที่เราอาจจะมองว่าเล็กน้อย แต่มันเป็นความสุขของเขา เช่น ขอให้ซื้อบัตรคอนเสิร์ตศิลปินที่ชอบได้ที่นั่งดีๆ หรือช่วยหาเครื่องรางที่ช่วยให้สุ่มกาชาปองได้ตัวเด็ดๆ ซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเขาในสายตาเราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเขาอาจจะเป็นเรื่องใหญ่
“แล้วมันก็มีอีกหลายเรื่องมากๆ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่เดินเข้ามาหาเรา เพราะการมูของเราทำงานบนออนไลน์ สะดวก เร็ว ตรงไปตรงมา ทำให้จากธุรกิจเล็กๆ ทำกันแค่ในกลุ่มที่รู้จักกัน กลายเป็นไวรัล มีคนสนใจเป็นวงกว้าง”
มูเตเวิร์ลกำลังส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่งมงายอยู่หรือเปล่า?
“จริงๆ ก็มีคนพูดว่าเราขายความเชื่อบนความเปราะบางของผู้คน แต่เรารู้สึกว่า เราก็หากินกับความเชื่อจริงๆ แต่เป็นความเชื่อที่เราเองก็เชื่อด้วยจริงๆ แล้วชีวิตก็ดีขึ้นมาจริงๆ ซึ่งพอลองเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นๆ เราก็มองว่า ไม่แตกต่างกัน เช่น ธุรกิจขายครีม เขาก็ขายความเชื่อว่า ถ้าทาครีมของเขาแล้วผิวจะขาวขึ้น ลูกค้าก็เชื่อว่าทาแล้วจะสุขภาพดีแน่ๆ หรือหุ้น ก่อนที่เราจะซื้อหุ้น เราก็ต้องเชื่อก่อนว่าเราซื้อแล้วเราต้องได้กำไร เป็นการเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังลงทุน ดังนั้นเรามองว่า ทุกอย่างทำอยู่กับความเชื่อหมด อยู่ที่ว่าเป็นความเชื่อด้านไหน
“ถามว่าเรากำลังส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่งมงายอยู่หรือเปล่า ในความเป็นจริงคนรุ่นใหม่ไม่ได้งมงายเลยนะ ลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาหาเรา เขาหาข้อมูลมาก่อนจะตัดสินใจซื้อโปรดักส์มูของเรา บางคนแค่อยากทดลองดู ไม่ได้ยึดติดว่าต้องเชื่อสนิทใจ หรือทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะบูชา เพราะราคามันไม่ได้แพง ซื้อไปแล้วจบ ถ้าดีขึ้นก็ใช้ต่อ ถ้าไม่เห็นผลก็เปลี่ยน ซึ่งเรามองว่า ถึงเราไม่ทำสิ่งนี้ขึ้นมา เขาก็ต้องหาอะไรอย่างอื่นมูอยู่แล้ว”
ฝนกล่าว
“ก็เคยมีผู้ใหญ่ทักเหมือนกันว่า ทำไมถึงมีความเชื่ออะไรแบบนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ อยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์ทุกอย่างพิสูจน์ทราบได้ พ่อก็เคยถามนะ แต่พ่อก็ยังมีพระเครื่อง ส่วนตัวเรามองว่า เรากับเขาก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่สิ่งที่เราเชื่อมั่นมันอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น พ่อห้อยสมเด็จโต สมเด็จวัดระฆัง แต่เราเป็นวอลเปเปอร์ในมือถือ เพราะเราไม่ได้ต้องการพกพระเครื่อง แต่เราต้องการอะไรที่ง่าย ไว ผู้ใหญ่เขาก็มูในแบบของเขา เพียงแต่ว่ารุ่นเราก็มูในแบบคนรุ่นเรา ไม่ได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ความรู้ เทคโนโลยีอะไร เกี่ยวกับความรู้สึกมากกว่า” แม่หมอแอเรียลเสริม
ทำไม? คนรุ่นใหม่ถึงเลือกที่จะ “ไม่นับถือศาสนา” แต่หันไปพึ่งพาทางสายมู
การที่ธุรกิจมูเตลูเติบโตอย่างรวดเร็ว สังคมกำลังบอกกับมูเตเวิร์ลว่า
“เพราะชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด” นี่คือคำสารภาพของหนึ่งในสมาชิกมูเตเวิร์ลและในฐานะตัวแทนของคนเจนฯ วาย
“ตอนแรกที่เราทำวอลเปเปอร์เสริมดวงขึ้นมา เราเริ่มจากการทำแจกก่อน แต่ปรากฏว่ามีคนเข้ามาคอมเมนต์ใต้โพสต์วอลเปเปอร์สำหรับเสริมดวงเรื่องการงานเยอะมาก และหลายคนเข้ามาขอบคุณที่เราทำสิ่งนี้ขึ้นมา เช่น มีน้องคนหนึ่งบอกว่า รองานมา 3 เดือนแล้ว พอเขาโหลดวอเปเปอร์ของเราไปใช้ บริษัทก็เรียกเขาไปสัมภาษณ์งาน แล้วเขาก็ได้งาน แล้วมันก็มีอีกเยอะมากๆ ที่เข้ามารีวิวบอกว่าเขาใช้วอลเปเปอร์นี้แล้วเขาแฮปปี้ ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วก็มีอีกเยอะมากที่ส่งข้อความมาหาเราเพื่อขอให้เราจับไพ่ 3 ใบ ให้เป็นไพ่ที่ช่วยเสริมดวงชะตาส่วนตัวให้หน่อย
“สิ่งที่สังคมกำลังบอกกับเราก็คือ คนหมดหวังกันเยอะขึ้น ในยุคที่ความเหลื่อมล้ำเห็นได้ชัดขึ้น เพราะแต่ละคนที่เข้ามาส่วนมากเป็นเรื่องการเงิน การงาน โอกาสมั่นคงในชีวิต ส่วนตัวเราเองก็เชื่อว่า เพราะความพยายามในชีวิตจริงอาจจะไม่เท่ากับความสำเร็จเสมอไป ยิ่งปัจจุบันเรามีโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงกันง่ายมาก เราเห็นชีวิตเพื่อนทำไมดีจังเลย ทำไมชีวิตคนนั้นอายุเท่ากันแต่ประสบความสำเร็จแล้ว ในขณะที่เราเพิ่งจะซื้อหมาแต่เพื่อนซื้อรถ เรากำลังซื้อข้าวกล่อง เพื่อนซื้อบ้าน
“ยิ่งใช้ชีวิตไปก็ยิ่งรู้สึกว่าโดนกดดัน การแข่งขันก็สูง และด้วยยุคสมัยที่อะไรก็ไม่แน่นอน เศรษฐกิจฝืดเคือง ก็เป็นเหมือนกับอุปสรรคที่ทำให้คนยุคนี้สู้ชีวิตแต่โดนชีวิตสู้กับอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะพยายามสุดๆ แล้ว ขยันสุดๆ แล้วก็ตาม
“ดังนั้นเมื่อคนเราตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดมากๆ ก็อยากที่จะมองหาสิ่งที่มาช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นเรื่องธรรมดา หลายคนจึงเลือกที่จะหันมาพึ่งพาทางสายมู เพื่อบรรเทาความเครียดและความไม่แน่นอนของชีวิต เช่น การดูดวงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมีคนรับฟังเราอย่างเข้าใจ การสุ่มเลือกไพ่ยิปซีตอบคำถามที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นไกด์นำทางให้ตัดสินใจทำ หรือไม่ทำอะไรบางอย่าง หรือการบูชาเครื่องรางทางสายมูเพราะเชื่อว่าจะจูงความโชคดีเข้ามาในชีวิต
“ยิ่งการมูถูกออกแบบมาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่มากเท่าไร หลายคนก็พร้อมที่จะควักกระเป๋าตังค์จ่าย เพื่อซื้อความสบายใจ ตอบคำถามที่คนสงสัยกันว่า ในเมื่อคนรุ่นใหม่หลายคนบอกว่าตนเองไม่มีศาสนา แต่ทำไมในขณะเดียวกันเรื่องของมูเตลูกลับเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ”
ไม่มีศาสนา ไม่เท่ากับ ไม่มีความเชื่อ
‘ไม่มีศาสนา’ คำตอบนี้อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนเจนฯ ใหม่ๆ แต่สำหรับคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ไปจนถึงผู้ที่เชื่อมั่นในความเชื่อทางศาสนาและใช้เป็นเครื่องมือนำทางชีวิต อาจจะฟังแล้วรู้สึกตกใจ
‘แม่หมอแอเรียล’ ให้ความเห็นว่า “ปัจจุบันคนเลือกเชื่อได้มากขึ้น และการเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นความต้องการส่วนบุคคล คนที่หันมาพึ่งพาทางสายมู เขาก็เชื่อว่านี่เป็นเสรีภาพของเขา ในเมื่อการมูเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เขามีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ ในยุคที่สังคมวุ่นวาย ไม่แน่นอน ความหวังที่จะมีโอกาสดีๆ ริบหรี่ แม้ไม่เชื่อว่าการมูจะให้ผล 100% แต่ก็มองว่าไม่มีอะไรเสียหาย
‘แม่หมอพิมพ์ฟ้า’ มองว่า การไม่มีศาสนาไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเชื่อ เพียงแค่ไม่มีสังกัดหลัก คล้ายคนทำงานเป็นฟรีแลนซ์ เพราะตอนนี้โลกมันอิสระ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ค้นหาสิ่งที่เข้ากับตัวเองได้ เช่น เราอาจจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธแต่เราสามารถชอบปรัชญาของศาสนาพุทธบางเรื่องก็ได้ถ้าเรารู้สึกว่ามันสามารถเป็นเครื่องมือนำทางชีวิต หรือถ้าเชื่อแล้วรู้สึกสบายใจ
ฝนบอกว่า เพื่อนของฝนก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่นับถือศาสนา แต่เมื่อก่อนในบัตรประชาชนจะมีเขียนบอกว่าคุณอยู่ศาสนาอะไรทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนเลือกเองด้วยซ้ำ ปัจจุบันจึงไปเอาออก เมื่อถามถึงเหตุผล เพื่อนคนนี้บอกว่า “เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลย เราไม่ได้อยากเข้าวัด เราไม่ได้อยากเข้าโบสถ์ เราไม่ได้อยากถือศีล” แต่สิ่งที่เพื่อนคนนี้คิดคือ เชื่อในพลังของตัวเอง เชื่อว่าตัวเองทำได้ก็จะทำได้ คือเชื่อพลังของจักรวาล ฝนยังบอกอีกว่า ยังมีลัทธิบูชาเบคอนด้วย บูชาราเมง บูชาอะไรก็ได้ที่ทำให้สบายใจ
อ่านมาถึงตรงนี้สิ่งที่มูเตเวิร์ลเห็นตรงกันคือ การมูเป็นเหมือนคัลเจอร์อย่างหนึ่งของคนรุ่นใหม่ ที่อยู่บนพื้นฐานของ ‘ความเชื่อ’ ไม่ต่างจากการนับถือศาสนา แตกต่างกันแค่วิธีการมู และการนำมาปรับใช้ในชีวิต
มูเตลู เป็นที่พึ่งพาทาง ‘ใจ’ เพื่อบอกว่า ชีวิตอย่าเพิ่งหมดหวัง
แม้จะมีรายงานบอกว่า ศาสนาเริ่มกลายเป็นทางเลือกมากกว่าทางหลักที่ผู้คนใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และสิ่งที่ช่วยสะท้อนได้ดีที่สุดในยุคนี้คือการมูเตลู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาพึ่งพาทางสายมูกันมากขึ้น
จากการเติบโตของธุรกิจมูเตเวิร์ล สิ่งหนึ่งที่พวกเขามองเห็นอยู่เสมอคือเรื่อง ‘สุขภาพจิต’ ของผู้คน
กุโร่ แชร์ว่า “สิ่งที่น่าเป็นห่วงในคนรุ่นใหม่คือเรื่อง สุขภาพจิต เพราะว่าลูกค้าที่เข้ามาให้มูเตเวิร์ลช่วยจับไพ่ให้ ส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนกัน คือเป็นซึมเศร้าจากสภาพสังคมแล้วก็อะไรหลาย ๆ อย่างที่มันไม่เอื้ออำนวยให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข”
ฝนแชร์ต่อว่า “มีคนหนึ่ง เขาเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายมามูวอลเปเปอร์ให้ชีวิตเขาดีขึ้น เพราะเจอปัญหาหนักจากวิกฤตโรคระบาด มูเตเวิร์ลเหมือนเป็นทางออกสุดท้ายที่ทำให้เรารู้สึกมีความหวัง ในวันที่มันไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้”
“เราเห็นว่าทุกคนมีความกดดันสูงมาก ไม่ว่าจะมองไปรอบตัวเขาเอง รอบตัวคนอื่น สื่อต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตเกิดการเปรียบเทียบ บางคนอาจจะพยายามที่สุดแล้วเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ว่าก้าวของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน สิ่งที่อยากจะบอกคือ อยากให้ทุกคนอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกว่าเราพักผ่อนได้บ้าง หรือรู้สึกว่าทำแค่นี้มันก็โอเคแล้ว วันพรุ่งนี้เราค่อยทำใหม่ก็ได้ ไม่ต้องเครียดมากจนเกินไป เพราะตอนนี้เหมือนทุกคนพยายามที่จะขึ้นไปสู่จุดที่มันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ เพราะว่าด้วยสภาพสังคมอะไรก็แล้ว อยากให้ทุกคนไม่ต้องมูก็ได้ แต่ว่าผ่อนคลายกับตัวเองให้มากขึ้น เชื่อในตัวเอง เพราะสุดท้ายทุกอย่างมันเริ่มจากตัวเรา การมูก็เป็นเพียงจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกมั่นใจ พร้อมที่จะสู้ชีวิต เป็นที่พึ่งพาทาง ‘ใจ’ เพื่อไม่ให้ชีวิตรู้สึกสิ้นหวัง” แม่หมอแอเรียลทิ้งท้าย