คุยกับ ‘แม่จง’ จากช่องTikTok ‘Styleเเม่จง’ คุณแม่วัย 63 ที่ค้นพบความสุขของตัวเองอีกครั้งจากการใส่เสื้อผ้าของลูกสาว

“แม่รู้สึกว่าตอนนี้มันเป็นวัยของเราแล้ว เพราะตอนที่เรายังไม่แต่งงาน ก็เป็นวัยที่เราต้องหาคู่ครอง สร้างความสัมพันธ์ พอแต่งงานแล้ว เราก็ต้องเลี้ยงลูก แต่ตอนนี้มันเป็นวัยที่ทุกคนได้ใช้ชีวิตส่วนตัว เป็นเวลาที่เราได้กลับมาโฟกัสที่ตัวเองอีกครั้ง”

สงกรานต์ปีนี้มนุษย์ต่างวัย คุยกับ ‘แม่จง’ ยิม ฟอง เอว่อน จง วัย 63 ปี คุณแม่ชาวฮ่องกงที่ใช้ชีวิตกับลูกสาวในเมืองไทยมาแล้วกว่า 30 ปี ผู้รักการแต่งตัวมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แต่ก็ไม่ได้สนุกกับการทำสิ่งที่ชอบมาหลายสิบปีเพราะต้องโฟกัสกับหน้าที่แม่และหัวหน้าครอบครัว จนวันหนึ่งเสื้อผ้าของลูกสาวก็ทำให้ชีวิตของแม่จงกลับมามีสีสันอีกครั้ง เพราะความนึกสนุกของแม่ที่อยากลองโคฟเวอร์เป็นลูกสาวแล้วถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ของครอบครัว

ทุกวันนี้แม่จงสนุกกับการลองมิกซ์แอนด์แมตซ์เสื้อผ้าใหม่ ๆ ได้ไปเที่ยว ไปถ่ายรูปกับลูกสาว และมีช่อง TikTok เป็นของตัวเองชื่อว่า ‘Styleเเม่จง’ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการสนับสนุนจากลูก ๆ ที่ทำให้แม่มั่นใจและกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่

“แม่รู้สึกว่าตัวเองมีอิสระ ไม่ต้องแคร์สายตาของใคร แค่ผ่านการอนุมัติในสายตาของลูก แม่ก็โอเคแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งลูกมาบอกว่า ‘แม่ แต่งแบบนี้หนูอายเพื่อน มันเกินวัยมากเลย’ แม่คิดว่าตัวเองก็คงจะยังแต่งตัวอยู่บ้าง แต่คงไม่ถ่ายรูป ไม่ออกสื่อ ไม่ลงโซเชียลมีเดีย หรือไม่ก็ไม่ไปไหนมาไหนกับลูกเวลาที่เราแต่งตัว”

ชีวิตสีสันใหม่ที่ได้จากเสื้อผ้าลูก

“แม่ชอบแต่งตัวมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ ชอบดูฝรั่งเขาแต่งตัว แบบที่มีผ้าพันคอ ใส่ถุงเท้ายาว รองเท้าบูตยาว ชอบแฟชั่นหน้าหนาว เพราะมันได้ใส่เสื้อผ้าเป็นชั้น ๆ เท่ ๆ แต่อากาศเมืองไทยร้อน ไม่ค่อยหนาว ถ้าจะให้เราไปใส่สายเดี่ยว มันก็ไม่ใช่แนวเรา ก็เลยแต่งตัวแบบปกติ ไม่ได้ตามแฟชั่นอะไรมากมาย

“จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่ลูกคนเล็กที่เขาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอาเสื้อผ้ามาใส่รีวิว แล้วเขาใส่แค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่ได้ใส่อีก แม่เห็นแล้วเสียดายก็เลยหยิบมาลองใส่ แล้วปรากฏว่ามันใส่ได้

“สมัยก่อนเวลาแต่งตัวแม่จะไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เพราะถ้าจะถ่ายรูปเราต้องมีกล้อง ต้องไปซื้อฟิล์ม คนรุ่นแม่ไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปกันบ่อย ๆ ส่วนใหญ่จะถ่ายแค่เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ หรือไม่ก็โอกาสสำคัญ ๆ เช่น วันเกิด ถ่ายเสร็จแล้วก็เก็บไว้ดูกันเอง ไม่ได้มีโซเชียลมีเดียให้ลง แต่ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราถ่ายรูปกันได้บ่อย ๆ ถ่ายได้วันละ 3-4 ครั้ง ถ้าวันไหนแต่งตัวสวยหน่อย ก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายได้เลย มันง่ายขึ้นเยอะ

“วันแรกที่แม่ลงรูปในอินสตาแกรม ลูก ๆ เขาก็ยังตกใจเลยที่เห็นแม่มาเล่น ตอนนั้นแม่ก็ไม่รู้ว่านึกอย่างไรเหมือนกัน มันเหมือนมีคนมาดลจิตดลใจให้ลองดู ก็เลยไปเลยรื้อภาพเก่าที่เคยถ่ายไว้มาลงเล่น ๆ ตอนนั้นแม่ก็แค่นึกสนุก ๆ ว่าอยากโคฟเวอร์ลูกสาวแล้วถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียเก็บไว้เป็นความทรงจำแค่นั้น เผื่อวันหนึ่งมีหลาน จะได้เอาไว้ให้หลานดูว่ายายเขาเคยแต่งตัวแบบนี้

“เราอยู่ด้วยกันมานาน ก็พอรู้ใจกันว่าใครชอบแนวไหน แบบไหน ส่วนใหญ่แม่จะเป็นคนแมตซ์เสื้อผ้าใส่เอง แต่ถ้าลูกแนะนำ แม่ก็จะลองดู ไม่ได้ปฏิเสธไปเลยว่าไม่เอา ไม่ชอบ ถ้ารู้สึกว่ามันเหมาะกับตัวเองแม่ก็จะใส่ แต่ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ แม่ก็จะเปลี่ยนไปลองชุดใหม่แทน บางชุดแม่แมตซ์เองมันอาจจะสวย แต่มันไม่เข้ากับเทรนด์ช่วงนี้ แม่ก็จะลองเปลี่ยนตามที่เขาแนะนำ”

ตามใจตัวเองได้ แต่ก็ไม่ลืมฟังใจคนในบ้าน

“แม่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มมีลูกแล้วว่าถ้าลูกโตเมื่อไร แม่จะกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง อาจจะไปเที่ยว เข้าร้านกาแฟ ส่วนเรื่องการแต่งตัวก็คงยืนหนึ่ง คิดว่าคงไม่ใส่ชุดแบบอาม่าแน่ ๆ คงจะมิกซ์แอนด์แมตซ์ให้ออกมาในสไตล์ของตัวเอง แต่ถ้าตอนนี้ยังอยู่ฮ่องกงแม่คิดว่าตัวเองก็คงจะไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ เพราะสังคมฮ่องกงเขาจะมองอีกมุมหนึ่ง เพื่อน ๆ ญาติ ๆ ของเราก็ไม่มีใครแต่งแบบนี้ แต่พอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เหมือนกับว่ามันเป็นข้อได้เปรียบของเราที่คนอื่นเขาก็จะมองเราเป็นชาวต่างชาติ เราทำอะไรก็ได้​ ไม่เป็นไร ไม่แปลก มันก็เลยทำให้เรากล้ามากขึ้น แต่ถ้าถามว่าเรากล้าเอาเสื้อผ้าแบบนี้ไปแต่งที่ฮ่องกงไหม คิดว่าก็คงไม่กล้า เพราะพ่อของเรายังอยู่ เราก็ไม่อยากให้เขามาเห็นเราแต่งตัวแบบนี้

“พ่อเขาเป็นคนรุ่นเก่า เขาคงไม่โอเคที่ลูกสาวอายุ 60 กว่าจะมาแต่งตัวแบบนี้ เขาคงจะถามเราว่า แต่งแบบนี้ ไม่อายลูกเหรอ เราคิดว่าทำให้คนในครอบครัวเราสบายใจดีกว่า แต่สมมติว่าวันหนึ่งพ่อเขาโอเค หรือเขามาบอกว่าลูกแต่งแบบนี้แล้วดีนะ เราก็คงจะกล้าแต่ง โดยที่ไม่ได้สนใจแล้วว่าคนอื่นจะมองอย่างไร อะไรที่มันเป็นความสบายใจของครอบครัว เราจะเลือกแบบนั้น

“ตอนที่เราเป็นลูก เราก็เชื่อฟังแม่ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนรุ่นเก่า แต่เขาก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอะไรมาเยอะ มันเป็นทางลัดที่เราไม่ต้องเหนื่อยไปเรียนรู้เองทั้งหมด หลายครั้งเรื่องที่เขาบอก พอเวลาผ่านไปสักพักเราก็จะเห็นว่ามันเป็นแบบที่เขาพูด

“แต่พอมาถึงวันนี้ วันที่เราเป็นแม่ ลูก ๆ เขาอาจจะมีความคิดเป็นของตัวเอง เราก็ยอมรับได้ เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เขาอาจจะต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูก เรียนรู้ และเติบโตในแบบของตัวเอง ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าเราให้เขาเปลี่ยน หรือปรับให้ถูกใจเรามันก็ยาก เพราะฉะนั้นอะไรที่มันไม่ได้ร้ายแรงมาก เราก็ปล่อยมันไป

“แม่คิดว่าเรื่องพวกนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเจเนอเรชันทั้งหมดนะ มันอยู่ที่นิสัยส่วนตัวของแต่ละคนมากกว่า เรื่องวัยอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดหรือมองแบบนั้น แต่มันมีองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย เพื่อนแม่กับแม่ แม้จะวัยเดียวกันก็ไม่ได้คิดเหมือนกันทั้งหมด หรือบางครั้งเด็กรุ่นใหม่เขาคิดเหมือนแม่ก็มี แม่คิดว่าอะไรที่ไม่เสียหาย เราก็ฟังแล้วลองทำดูก่อน เพราะองค์ความรู้บางอย่างไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ยุคสมัย มันก็ยังเอามาใช้ได้อยู่”

อย่ารักกันเฉพาะวันพิเศษ

“ครอบครัวที่ดีสำหรับแม่ มันก็แค่การที่เราใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่คาดหวังอะไรต่อกันมากมาย อยู่ด้วยกันด้วยความสบายใจ แค่นี้ก็โอเคแล้ว ถ้ามีโอกาสพิเศษ ก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องไปวันนั้นเลย อย่างวันเกิดแม่ ถ้าลูกไม่ว่าง ก็เลื่อนไปกินกันวันอื่นได้

“จริง ๆ มันก็เป็นข้ออ้างนั่นแหละ เพราะปกติเราก็ออกไปกินข้าวกันอยู่แล้ว เราก็บอกกันว่ามื้อนี้กินในโอกาสวันเกิดก็ได้ หรือมื้อนี้กินในโอกาสวันตรุษจีนก็ได้ บ้านเราไม่ชอบเซอร์ไพร์ส ถ้าจะซื้ออะไรให้กันก็จะถามกันตรง ๆ ไปเลยว่าใครอยากได้อะไรจะได้ถูกใจคนรับ

“แม่พอรู้ว่าสงกรานต์เป็นเหมือนเทศกาลปีใหม่ของคนไทย ถ้าเปรียบกับเทศกาลของคนจีนก็คงเหมือนวันตรุษจีน จริง ๆ ตอนอยู่ฮ่องกง บ้านเราก็เป็นครอบครัวใหญ่ พี่น้องก็จะกลับบ้านพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนกัน แต่พอมาอยู่ที่นี่ ถ้าช่วงตรุษจีนตรงกับช่วงที่ลูกติดเรียน หรือเขาไม่ว่าง แม่ก็ไม่ได้กลับบ้านที่ฮ่องกงนะ เราไม่ได้ซีเรียสกับเทศกาล เพราะว่าเรากลับเวลาอื่นก็ได้ คนเรารักกัน อย่าไปโฟกัสแค่เทศกาลหรือวันสำคัญ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็ทำให้ทุกวันเป็นวันสำคัญได้หมด”

ชีวิตดี ๆ เริ่มที่ตัวเรา

“แม่เลี้ยงลูกคนเดียวมา 10 กว่าปี ต้องทำทั้งหน้าที่พ่อและแม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องคิดอยู่เสมอว่าแม้เราจะรักลูกแค่ไหน แต่เราก็ต้องรักตัวเองให้มากด้วยเหมือนกัน

“การดูแลจิตใจสำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่ดูแล เราอาจจะเจ็บป่วยด้วยโรคทางกายตามมาด้วย เราต้องดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเรามัวแต่โฟกัสอยู่กับลูก หรือเครียดกับการที่ลูกไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง สุดท้ายผลกระทบมันก็ตกกับตัวเรามากกว่า

“แม่ไม่อยากเจ็บป่วยจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่อยากล้มไปตั้งแต่อายุเท่านี้ เพราะต่อให้ลูกเราจะกตัญญูแค่ไหน แต่ถ้าจะให้เขาต้องมาใช้ชีวิตเขาดูแลเราเป็น 20 ปี แม่ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แม่ก็เลยอยากจะดูแลตัวเองให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

“แม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีนะที่อยู่มาจนป่านนี้ แล้วยังมีความสุข ยังยิ้มได้ จริง ๆ คนเราแค่ยึดคำว่า ‘อยู่เป็น’ คำเดียวก็จบ หมายความว่า เราปรับตัวได้ อยู่กับใครก็ได้ อยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ได้ อะไรที่เรารู้ว่าคนอื่นเขาไม่ชอบก็อย่าทำ อะไรยอมได้เราก็ยอม เพราะการเปลี่ยนตัวเองมันง่ายกว่าการที่เราจะไปเปลี่ยนคนอื่น ทุกคนต่างมีข้อเสีย ถ้าเราไปโฟกัสแต่ข้อเสียของเขา คอยจ้องแต่จะตำหนิเขา เราอยู่มาไม่ได้จนถึงวันนี้หรอก

“ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ชอบอะไรก็ทำเลย ถ้าใครมีความฝันอยู่ในใจก็อยากให้ลองทำดูสักครั้ง แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่ใช้ชีวิตของเราต่อไป บางครั้งอาจจะลองถามตัวเองดูก็ได้ว่ามีอะไรที่เรายังอยากทำอยู่บ้าง

“คิดง่าย ๆ แค่ว่าเรารักตัวเองก็พอ เพราะถ้าเรารักตัวเอง เราก็จะทำให้ตัวเองมีความสุข แค่ได้ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่มีเรื่องให้เครียด ทั้งเรื่องทรัพย์สินเงินทอง เรื่องลูกหลาน ได้กินอะไรที่มันอร่อยจนต้องตบโต๊ะ แม่ว่าแค่นี้ชีวิตก็มีความสุขแล้ว”

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ