ชายวัย 56 ปี ผู้เกิดความเบื่อหน่ายจากการทำงานประจำก่อนจะตัดสินใจเกษียณก่อนกำหนดเพื่อออกมาทำในสิ่งที่ตนเองรักนั่นคือการวาดรูป โดยเริ่มจากการวาดบนกำแพงบ้านของตัวเอง
ในเวลาต่อมา ผลจากการวาดรูปเพื่อที่จะขับไล่ความเบื่อหน่าย ภาพวาด 3 มิติของเขาสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนในหมู่บ้านและผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาจนกระทั่งกลายเป็นจุดสังเกตแห่งหนึ่งในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและรายได้เข้าสู่ชุมชนและบ้านเกิด
นี่คือเรื่องราวของชายสูงวัยคนหนึ่งที่เลือกทำในสิ่งที่ตนรักและมีความสุข โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสิ่งนั้นจะช่วยมอบความสุขให้กับคนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่า ‘บ้านเดื่องก’ หมู่บ้านธรรมดาๆ ที่มีผู้ชายธรรมดาๆ กำลังนั่งวาดรูป 3 มิติบนกำแพงบ้านของตัวเอง
ความรักที่อยู่ในใจ
บ้านเดื่องกเป็นหมู่บ้านขนาดกลางจำนวน 300 กว่าหลังคาเรือน อยู่ในตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ประกอบอาชีพเกษตรกร ทำสวนลำไย อาจจะมีปลูกผักอื่นๆ อยู่บ้าง เช่น คะน้าหรือผักกาดขาว แต่ก็ไม่มากนัก ที่นี่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นหรือน่าสนใจ เป็นหมู่บ้านทางผ่านที่คนสัญจรผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หลายๆ คนแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชื่อหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในประเทศของเรา
ลุงเปี๊ยก-สง่า อุ่นเตจ๊ะ เป็นคนบ้านเดื่องกโดยกำเนิด เขาเกิดและเติบโตที่นี่ เพียงแต่ไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน โดยลุงเปี๊ยกทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลป์ให้กับรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
ชายวัย 56 หลงรักศิลปะและการวาดรูปมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ทว่าด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจอะไรประกอบกับ ต้องการสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคง เขาจึงเลือกทำงานประจำมากกว่าจะหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นศิลปินเขียนรูปขายซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน
“การวาดรูปเป็นสิ่งที่เราอยู่กับมันแล้วมีความสุขมาก ถึงเราจะฝีมือไม่ค่อยดี ถ้าเทียบกับคนเรียนศิลปะหลายๆ คน แต่เราก็ไม่เคยหยุดรักมันเลย เวลาที่เรานั่งวาดรูป รูปที่เราวาดมันพาเราออกไปอีกมิติหนึ่ง เราอยากเป็นอะไรก็ได้ตามแต่เราจะจินตนาการ ขอแค่วาดลงไปเราก็ได้เป็นทุกอย่างตามที่ใจต้องการ”
ลุงเปี๊ยกเรียนจบด้านวิจิตรศิลป์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ก่อนจะมาทำงานประจำอยู่ในองค์กรแห่งหนึ่ง เป็นเวลาหลายสิบปี แม้จะอยู่ในฝ่ายศิลป์ได้ทำงานศิลปะที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ด้วยรูปแบบขององค์กรทำให้การสื่อสารและผลงานที่แสดงออกมานั้นต้องอยู่ในกรอบจำกัดของเป้าหมายทางการค้ามากกว่าจะสื่อสารด้านอารมณ์ศิลปะได้ตามที่ใจต้องการ ความไม่อิสระนี้ค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นความเบื่อหน่าย สุดท้ายเขาจึงเอาความรู้สึกดังกล่าวไประบายให้ภรรยาฟัง
“เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดและต้องการสื่อสารมันไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจต้องการ เราคิดอีกอย่างแต่ผู้บริหารต้องการให้ทำอีกอย่าง สุดท้ายเราก็ขัดเขาไม่ได้ ซึ่งมันก็ไม่มีใครผิดใครถูกนะ สิ่งที่เขาทำอาจจะดีกว่าจริงๆ ก็ได้ เพียงแต่เราเริ่มเบื่อแล้วก็คิดถึงการวาดรูปขึ้นมา เนื่องจากเป็นสิ่งที่เราชอบ พอจะทำได้ แล้วก็ไม่มีใครบังคับ เมื่อเราไปปรึกษาภรรยา เขาก็เห็นด้วย
“ภรรยาเขาอยากให้วาดใส่กำแพงบ้านเพราะว่ามันว่างอยู่แล้วก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องซื้อกระดาษซื้อเฟรม อยากวาดอะไรก็วาดตามแต่เราจินตนาการเลย”
ทันทีที่ได้รับไฟเขียวจากผู้บังคับบัญชาที่บ้าน ลุงเปี๊ยกก็ลงมือทำในสิ่งที่ใจรักทันที เขาใช้เวลาในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ขีดเขียนภาพต่างๆ ไปบนกำแพง โดยเริ่มจากด้านในตัวบ้าน ก่อนที่จะขยายผลงานออกไปด้านนอก
อย่างไรก็ตามทุกรูปที่ชายร่างเล็กแห่งบ้านเดี่องกสื่อสารออกมาล้วนแต่ไม่ใช่ภาพวาดธรรมดา มันพุ่งลอยออกจากกำแพงบ้าน
ใช่แล้ว…นี่คือภาพ 3 มิติ
เดื่องก 3 มิติ
จุดมุ่งหมายในการวาดรูปของลุงเปี๊ยกนอกจากจะเป็นเรื่องของการสลัดทิ้งความเบื่อหน่ายออกไปจากใจแล้ว อีกประการหนึ่งที่เขาต้องการไม่แพ้กันก็คือรอยยิ้มและความสุขของผู้คนที่ผ่านไปมา
“ช่วงที่เราเริ่มลงมือทำงานเป็นช่วงโควิด 19 กำลังระบาด ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความหวาดกลัว เราจึงคิดว่ามันคงจะดีมากถ้ารูปที่เราวาด ทำให้ผู้คนที่มาเห็นเขารู้สึกมีความสุข ตื่นเต้น ประทับใจ
“จุดหมายและความตั้งใจจริงๆ ของเราคืออยากให้คนยิ้มได้ ให้ภาพของเราสร้างความสุขเล็กๆ ให้กับพวกเขา แม้ว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์อันเลวร้ายก็ตาม”
ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างรอยยิ้ม ความสุข รวมถึงความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับชาวบ้านและผู้คนที่แวะผ่านมา ลุงเปี๊ยกจึงตัดสินใจสร้างความแตกต่างด้วยการ วาดภาพ 3 มิติลงบนกำแพง ช่วงแรกผู้ คนที่ผ่านไปผ่านมายังมองไม่ออกคิดไปว่ามันก็เหมือนภาพวาดตามกำแพงทั่วไป ต่อเมื่อลองถอยหลังออกไป ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ก็ลอยเด่นออกมาราวกับมีชีวิตจริง
“มีคนถามเราบ่อยมากนะว่าทำไมต้องเป็นภาพ 3 มิติ เราก็บอกไปว่าเราอยากทำให้มันพิเศษ ให้ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาเขาเห็นแล้วประหลาดใจว่าที่บ้านเดื่องกของเรามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ ชาวบ้านที่นี่เขาไม่ได้ไปเที่ยวไหน ไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้จากที่อื่น ถ้าเราวาดแบบธรรมดามันก็เหมือนกับศิลปะบนกำแพงทั่วไป ชาวบ้านบางคนที่มายืนดูใกล้ๆ ก็จะมองไม่ออกหรอกคิดว่าเป็นภาพธรรมดา แต่พอเราบอกให้ถอยหลังออกไปเขาก็ยิ้มเลย งงว่าคิงคองมันลอยออกมาได้ยังไง ทำไมแค่เปลี่ยนมุมมองส้มมันถึงลูกใหญ่กว่าเดิม หรือทำไมปลามันดูเหมือนว่ายน้ำได้ ฯลฯ”
ลุงเปี๊ยกไม่ได้ตอบคำถามและข้อสงสัยของชาวบ้าน หากแต่ทยอยผลิตผลงานออกมาเรื่อยๆ ทุกวันก่อนไปทำงาน และในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คุณลุงจะมานั่งวาดภาพที่กำแพงบ้านเป็นประจำ มีทั้งเสือ นกอินทรี ปลาฉลาม ไดโนเสาร์ เมืองโบราณหมูกระทะ ฯลฯ ผลงานเหล่านี้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริงจนแทบไม่อยากจะทำอะไรอย่างอื่นอีก กระทั่งวันหนึ่งเมื่อองค์กรที่ทำงานอยู่เปิดโอกาสให้พนักงานที่ทำงานมานาน สามารถที่จะเกษียณก่อนกำหนดได้ลุงเปี๊ยกจึงตัดสินใจอย่างไม่ลังเล
ในวัย 56 ปีศิลปินแห่งบ้านเดื่องกเลือกที่จะเกษียณออกจากงานเพื่อมาวาดภาพบนกำแพงอย่างเต็มตัว
เกษียณก่อนกำหนดอย่างมีความสุข
การตัดสินใจเกษียณออกจากงานที่ทำมาร่วมครึ่งชีวิตก่อนกำหนดไม่ได้เกิดจากการหุนหันพลันแล่นหรือตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกอย่างเดียว หากแต่มาจากการไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลและยืนอยู่บนความเป็นจริง
“ต้องบอกตามตรงว่าช่วงหลัง เราคิดเรื่องออกจากงานมาตลอด ยิ่งพอได้มาวาดภาพบนกำแพงก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข ชัดเจนว่าเราอยากออกมาวาดภาพอย่างจริงจัง อยากมีเวลาให้มันเต็มที่ อีกอย่างมันตรงกับช่วงโควิดเราก็อยากที่จะอยู่ดูแลแม่ที่บ้าน แต่เราก็ไม่สามารถตัดสินใจลาออกได้ในทันที มันคงไม่ดีแน่หากเราจะมานั่งวาดรูปโดยที่ไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรแล้วให้ภรรยาหาเงินเข้าบ้านอยู่คนเดียว”
ลุงเปี๊ยกรอจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสม เมื่อองค์กรยื่นโอกาสเกษียณก่อนกำหนด ทำให้อย่างน้อยเขาจะได้เงินก้อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งหากวางแผนให้ดีการออกจากงานประจำเพื่อวาดรูปก็จะไม่สร้างความเดือดร้อนแต่อย่างใด
“อย่างน้อยช่วงที่เราออกมาวาดรูปแม่ก็จะมีคนดูแล ครอบครัวก็มีเงินก้อนจากการเกษียณก่อนกำหนดแล้วก็ยังได้เงินจากการทำงานของภรรยา เท่ากับว่าเราออกมาแล้วมีเงินให้ครอบครัว รายได้ก็ไม่ลดลง ขณะที่วันๆ เรากินข้าวที่บ้านแทบไม่ได้ใช้จ่ายอะไรเลย เราได้ทำตามใจตัวเองโดยที่ชีวิตและคนที่เรารับผิดชอบก็ไม่ต้องเดือดร้อนจากการตัดสินใจของเรา”
ลุงเปี๊ยกออกจากงานประจำที่อยู่ในวันแรกของเดือนพฤศจิกายน 2564 เมื่อมีเวลามากขึ้นการผลิตงานก็รวดเร็วมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทุกวันไม่ว่าจะฝนตกแดดออก ภาพที่เห็นจนชินตาก็คือชายร่างเล็กผอมเกร็งคนหนึ่งจะนั่งตวัดพู่กันบนบล็อกกำแพงบ้านของตัวเอง
ชาวบ้านเดื่องกที่เห็นส่วนหนึ่งมีทั้งชื่นชม ทึ่งและตื่นตาตื่นใจไปกับภาพที่ได้เห็น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ สงสัยว่าบ้าหรือเปล่า
“เขาก็คิดอยู่แค่สิ่งที่เขาเห็น เห็นเรานั่งเขียนรูปอยู่กลางแดด เขียนไปทำไม คนจ้างก็ไม่มี เงินก็ไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรนะ เขาจะมองยังไงก็เป็นเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือฝนจะตก แดดจะออก เราก็ยังทำงานอยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง แต่อยู่เพื่อให้เขาเห็นว่าคนๆ หนึ่งมันสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
“เรามีความเชื่อในรูปที่เราวาด เชื่อในสิ่งที่เราทำ เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันยิ่งใหญ่พอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบ้านของเรา”
นับจากวันที่เกษียณจากงานประจำอย่างเต็มตัว ลุงเปี๊ยกใช้เวลาราว 1 เดือนทำให้กำแพงที่ว่างเปล่ารอบบ้านตัวเองกลายเป็นถนนแห่งภาพ 3 มิติ
หลังจากตวัดปลายพู่กันบนกำแพงบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ลุงเปี๊ยกโพสต์ภาพผลงานของตัวเองลงในเฟซบุ๊กแล้วเข้าบ้านนอน ก่อนตื่นมาเจอสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอในวันถัดไป
“คนไม่รู้มาจากไหน แห่กันมาถ่ายรูปรอบบ้านเต็มเลย มีแต่รอยยิ้ม และเสียงชื่นชม สอบถามถึงได้รู้ว่ามีทั้งคนแถวนี้แล้วก็มีมาจากจังหวัดอื่นๆ บางคนมาจากลำพูน บางคนมาจากขอนแก่น จากทางภาคอีสานก็มีไม่น้อย”
จากชุมชนที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ จากหมู่บ้านที่เป็นเพียงแค่ทางผ่าน บ้านเดื่องกกำลังจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของอำเภอสารภี
ดูเหมือนความเชื่อของลุงเปี๊ยกกำลังจะกลายเป็นความจริง
ศิลปะเพื่อชุมชน
ทุกครั้งที่ถ่ายทอดผลงานลงไปบนกำแพงลุงเปี๊ยกคิดอยู่เสมอว่าไม่ช้าก็เร็วความเปลี่ยนแปลงจะต้องมาถึง และในที่สุดสิ่งนั้นก็เป็นจริง
“หลังจากวันนั้นมีผู้คนมาเที่ยวที่บ้านเดื่องกของเราทุกวัน บางวันมีรถมาจอดที่ชุมชนเป็นร้อยคัน ซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้เก็บเงินค่าจอดรถกับนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด นักท่องเที่ยวนอกจากจะมาถ่ายรูปกับกำแพง 3 มิติที่บ้านเราแล้ว บางคนก็เดินเที่ยวในหมู่บ้านด้วย ซึ่งบรรยากาศแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นที่บ้านเดื่องกเลย
“เมื่อนักท่องเที่ยวมากันมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านก็มีความเห็นร่วมกันว่าควรจะทำเป็นตลาดเล็กๆ เอาของมาวางขายเพื่อให้มีรายได้เข้ามาสู่ครอบครัวและชุมชน มีทั้งของกิน พืชผักในชุมชน ของเก่า ของที่ระลึก สมุนไพร ฯลฯ ชาวบ้านบางคน เข้าไปขายของในอำเภอเมืองกลับมาบ่ายสาม จากบ่ายสามถึงหกโมงเย็น เขาขายได้ 800 บาท แล้วของที่ขายคือของที่เหลือมาจากในเมือง ถือว่าเป็นรายได้เสริมที่ดีมากสำหรับพวกเขา อย่าลืมว่าในช่วงโควิดที่ผ่านมาบางคนต้องตกงาน ไม่มีรายได้เข้าบ้าน การที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจึงไม่ได้นำมาแค่รายได้ แต่นำมาซึ่งความสุขใจให้กับทุกคนด้วย”
จากการวาดรูปเพียงเพื่อจะขับไล่ความเบื่อหน่ายออกจากชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ภาพวาดเหล่านี้จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่นำมาซึ่งรายได้และความเปลี่ยนแปลงของชุมชน
ปัจจุบันเดื่องกไม่ใช่หมู่บ้านเงียบๆ ที่ไม่มีใครรู้จักเหมือนเมื่อก่อน แต่ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเป็นลานกิจกรรม เป็นตลาดนัด เป็นแลนด์มาร์คที่ใครก็แวะมาเช็กอิน กินเที่ยว และถ่ายรูปอัปลงโซเชียล ที่สำคัญมันเป็นพื้นที่แห่งความสุขของทุกๆ คน
รวมถึงผู้ชายคนหนึ่งด้วยเช่นกัน
ความสุขของชีวิต
หลังจากผลงานภาพ 3 มิติที่บ้านเดื่องกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในโลกโซเชียล ลุงเปี๊ยกก็ได้รับการทาบทามติดต่อจากหน่วยงานและห้างร้านหลายๆ แห่งให้ไปร่วมงานด้วย บางองค์กรถึงกับยินดีออกค่าตั๋วเครื่องบินให้เลย ขอแค่คุณลุงตอบตกลง
“มีติดต่อมาหลายที่มาก แต่เราก็ปฏิเสธไป ยกเว้นบางที่ที่เดินทางไม่ไกลนักเราก็ตกลงทำให้ ใช้เวลาวาดแค่วันเดียวแล้วก็กลับ ที่ปฏิเสธก็เพราะว่าเรายังต้องทำงานในชุมชนต่อไป ยังมีกำแพงและสถานที่ในบ้านเดื่องกที่เราจะทำต่อเป็นจุดที่ 2 เราจึงต้องโฟกัสกับตรงนี้ก่อน”
ลุงเปี๊ยกบอกว่าสาเหตุที่ตนเลือกทำงานให้กับบ้านเดื่องก โดยยอมปฏิเสธรายได้มากมายที่เข้ามา มีอยู่ 2 ประการด้วยกัน ประการแรกชาวบ้านทุกคนได้ประโยชน์ และประการที่สอง เป็นงานที่อิสระมากกว่าการไปทำงานที่อื่น
“เราเชื่อว่าถ้าเราทำเฟส 2 เสร็จขึ้นมาเมื่อไหร่ การท่องเที่ยวในบ้านเดื่องกจะยิ่งบูมมากกว่าเดิม ถ้าเป็นแบบนั้นชาวบ้านก็จะได้ประโยชน์ รายได้เข้ามามากขึ้น ของก็ขายได้เยอะกว่าเดิม พูดง่ายๆ คือทุกคนมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่านี้ แล้วการนั่งวาดรูปที่นี่ถึงแม้เราจะไม่ได้รายได้ แต่เราทำงานอย่างอิสระ ไม่มีนายจ้างมาคอยกดดัน อยากทำก็ทำ อยากพักก็พัก จะหยุดกินข้าวเมื่อไหร่ก็ได้ เงินใครก็อยากได้แต่เราเลือกความสุขมาก่อน ถ้าทำงานแล้วไม่มีความสุขก็ไม่รู้จะทำงานไปทำไม”
ในอนาคตไม่มีใครรู้หรอกว่าภาพวาด 3 มิติบ้านเดื่องกเฟส 2 ที่ลุงเปี๊ยกกำลังลงมือทำอยู่ เมื่อเป็นรูปเป็นร่างแล้วทุกอย่างจะสำเร็จและทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ก้าวหน้าไปมากกว่าเดิมอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า
มันอาจจะดียิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้หรืออาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและเป็นจริงอยู่ในตอนนี้ก็คือ
ไม่มีใครในบ้านเดื่องกที่ไม่มีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนของตัวเอง