ในวันที่กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน เพื่อเรียนรู้ใหม่กับการเป็น Software Developer – ‘เสือ’ นันทวัฒน์ ธนสารเศรณีวณิช วัย 53 ปี

“ผมเป็นอีกคนที่เริ่มจาก 0 แต่วันนี้ผมให้คะแนนตัวเองเต็ม 100 ถ้าคุณกล้าที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซน ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้ อะไรก็หยุดคุณไม่ได้    

“อายุอาจจะมีผลต่อสภาพร่างกาย แต่กับสมองไม่ใช่แบบนั้น ผมว่าสมองของคนเรามันไม่เคยแก่ เราสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนามันได้เรื่อย ๆ ตอนเรียนผมก็สามารถเรียนรู้ตามเพื่อน ๆ รุ่นน้องทัน บางเรื่องก็สามารถที่จะอธิบายหรือสอนน้อง ๆ ได้ด้วยซ้ำ”                                        

มนุษย์ต่างวัยคุยกับ “เสือ” นันทวัฒน์ ธนสารเศรณีวณิช วัย 53 ปี อดีตวิศวกร อาจารย์

มหาวิทยาลัย และ Project Manager ที่ผันตัวจากคนใช้งานมาเป็นคนเขียนและสร้างโปรแกรม ทางเทคโนโลยีในวัย 50+ โดยที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน ผู้เข้าร่วมโครงการ 𝗝𝘂𝗻𝗶𝗼𝗿 𝗦𝗼𝗳𝘁𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗗𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗲𝗿 รุ่นที่ 8 ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างเจเนเรชั่น ประเทศไทย และ สำ นักเคเอ็กซ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่มุ่งมั่นในการสร้างโอกาสและทักษะ ทางอาชีพ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้ที่สนใจอยากเปลี่ยนสายอาชีพเข้าสู่สายงานเทคโนโลยีดิจิทัล หรือเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์                 

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจตลอดระยะเวลา 15 สัปดาห์ ทำให้เขาสามารถเรียนรู้จนจบหลักสูตรจากบูทแคมป์รุ่นล่าสุดได้ไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และตั้งใจว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจดี ๆ ให้กับคนที่มีฝันและอยากลองก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนในวัยนี้ที่ หลายคนอาจมองว่ามันช้าเกินไป      

ก่อนหน้านี้เสือเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ชีวิตมีโอกาสได้ทำงานหลายอย่าง และมีประสบการณ์ในหลายสาขาอาชีพ ทั้งวิศวกร อาจารย์มหาวิทยาลัย Project Manager แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์หรือความรู้ทางด้านเทคโนโลยี หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์มาก่อน จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ดูแลโครงการของภาครัฐเพื่อเทรนบุคลากรในโรงงานให้มีความรู้ ความสามารถในการควบคุมเครื่องจักร หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อใช้พัฒนาอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงทำให้เขาเริ่มสนใจงานในด้านนี้

วันหนึ่งมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมกับทางเพจมนุษย์ต่างวัยและได้รู้จักกับโครงการ 𝗝𝘂𝗻𝗶𝗼𝗿 𝗦𝗼𝗳𝘁𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗗𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗲𝗿 และเห็นว่าโครงการฯ น่าสนใจ จึงไปศึกษาข้อมูลต่อและสมัครเข้าเรียนจนสามารถจบหลักสูตรนักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดมาได้           

“ตำแหน่งล่าสุดในการทำงานของผม คือ Project Manager มีหน้าที่ดูแลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการอบรมบุคลากร หรือลงพื้นที่ภาคสนาม มีช่วงหนึ่งที่รัฐบาลส่งเสริมเรื่อง Industry 4.0 เพื่อยกระดับแรงงานในภาคเอกชนให้มีความรู้ ความสามารถในการควบคุมหุ่นยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๆ ได้ พอผมมีโอกาสได้ดูโครงการนี้ก็เลยเป็นตัวจุดประกายว่า เราเองก็คุมโครงการอัปสกิล รีสกิลให้กับคนในภาคอุตสาหกรรม ทำไมถึงไม่มีความรู้ทางด้านโปรแกรมพวกนี้เลย ก็เลยอยากจะเรียนรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ควบคุมแบบไหน

“นอกจากนี้ผมก็อยากเปลี่ยนสายงานและอยากทำงานอิสระที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ผมคิดว่าในอนาคตการเรียนรู้เรื่องพวกนี้มันจะเป็นพื้นฐานให้เราเข้าใจถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ ถ้าเราเข้าใจมัน เราก็จะสามารถเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก และจะเป็นพื้นฐานให้เราไปต่อยอด หรือศึกษาภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น”

เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในวัย 50+

“ด้วยความที่ผมจบมาทางสายวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับระบบการเรียนปรับพื้นฐานในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนอยู่แล้ว พอทางโครงการส่งรายละเอียดคอร์สมาให้ผมก็เลยไปศึกษาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มเรียน จากทางช่องยูทูบต่าง ๆ พอให้เข้าใจข้อมูลเบื้องต้น นอกจากนี้ผมก็สอนทางด้านการตลาดดิจิทัล ทำให้ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับเว็บไซต์ด้านอีคอมเมิร์ซ หรือการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพียงแต่ว่าไม่ได้ลงไปโค้ดดิ้งแค่นั้น

“อุปสรรคสำคัญสำหรับผมไม่ใช่เรื่องอายุแต่คือความไม่รู้ แต่ความโชคดีคือเรารู้ว่าจุดที่เราไม่รู้มันคือจุดไหน เราก็เลยสามารถใช้ ChatGPT ช่วย หรือสามารถถามอาจารย์ผู้สอนเพิ่มเติมได้ ช่วงแรก ๆ ที่เรายังจับทางไม่ได้ เราก็ถามบ่อยหน่อย ถามเพื่อนร่วมคลาส แล้วก็ศึกษาด้วยตัวเอง โดยใช้ AI เป็นตัวช่วย ก็มีบ้างที่รู้สึกท้อ แต่คิดว่าถ้าหลุดไปเลยยาว ๆ มันก็จะตามไม่ทัน

“คอนเซปต์ของผมคือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เรากลับมาเข้าใจเนื้อหา ทางผู้สอนเคยบอกว่าหลักสูตรนี้ออกแบบมาสำหรับคนที่เรียน 4 ปี คิดดูว่าจากระยะเวลา 4 ปีต้องเรียนให้จบภายใน 15 สัปดาห์ มันแน่นมาก พอจบคลาสในแต่ละวันผมก็จะศึกษาด้วยตัวเองต่อ พยายามแกะออกมาทีละเรื่องจนเข้าใจมัน

“ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยเรียนออนไลน์นานขนาดนี้ แต่ผมมีปรัชญาในใจว่า ถ้ามีโอกาสแล้ว เราต้องทำให้ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะต้องทำให้ได้ เพราะผมตัดสินใจไปแล้ว จะไม่มีทางทิ้งกลางทางแน่นอน”

ได้ความรู้ ทักษะ และโอกาสในการเข้าสู่งานสายเทคฯ

“จุดเด่นที่ทำให้ผมสนใจโครงการฯ นี้ก็คือ การที่มีการดูแลในพาร์ตของการต่อยอดเรื่องการหางาน การทำเรซูเม ซึ่งโครงการอื่น ๆ ไม่มีแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกสนใจมาก ก็เลยอยากมาลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง ประกอบกับการเห็นตัวอย่างความสำเร็จของคนที่จบหลักสูตรไปในรุ่นก่อน ๆ ที่สามารถเปลี่ยนสายงานได้จริง ทำให้เราเชื่อมั่นว่าการมาเข้าร่วมโครงการครั้งนี้จะไม่ได้แค่ความรู้ แต่เรามีโอกาสที่จะได้งานทำจริง ๆ

“การมาเรียนรู้กับโครงการ 𝗝𝘂𝗻𝗶𝗼𝗿 𝗦𝗼𝗳𝘁𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗗𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗲𝗿 สิ่งที่จะได้กลับไปแน่ ๆ เลยก็คือ Tecnical Skills แต่นอกจากจะเรียนทางทฤษฎีแล้ว เราก็ต้องมีการพัฒนาทางด้าน EQ ด้วย วิชาที่ผมชอบก็เลยเป็นวิชา BSM หรือ Behavioural skills and mindsets ซึ่งจะช่วยพัฒนาทางด้าน EQ ให้เรา เพื่อไปทำงานร่วมกับคนอื่นได้ เพราะถ้าเราเก่งแต่ทฤษฎีแต่ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เราก็ไปต่อไม่ได้เหมือนกัน

“วิชานี้มีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำร่วมกับเพื่อน ๆ เช่น วาดรูป หาของ นำอุปกรณ์มาช่วยกันสร้างบ้าน ฯลฯ ที่ผมชอบวิชานี้เพราะมันให้ทักษะในการดำรงชีวิต การมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญ การเรียนตรงนี้เหมือนเป็นการย่นระยะเวลาการเรียนรู้ของเรา เหมือนทางลัดที่จะบอกสิ่งสำคัญและให้ประสบการณ์ชีวิตกับเราได้ในเวลาอันสั้น”

ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ

“สำหรับผมการโค้ดดิ้งเป็นเรื่องที่ห่างไกลตัวเรามาก ไม่เคยคิดว่าเราจะได้มาทำอะไรแบบนี้  เพราะเราเป็นคนใช้งานมาตลอด แต่ทุกวันนี้เราสามารถเขียนโปรแกรมเองได้แล้ว ซึ่งถ้าไม่ได้มาเรียนในหลักสูตรนี้คงจะไม่มีโอกาสได้ทำแน่นอน ส่วนเรื่องการออกแบบให้สวยงาม น่าใช้ เราก็ต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมอีกที

“หัวใจสำคัญของการเรียนให้ประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าคือความพยายามและความรับผิดชอบในการที่จะทำมันให้ได้ เราต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมด้วย เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเรียนรู้ทุกคำสั่งอย่างละเอียดได้ภายในคลาสที่มีเวลาจำกัด”          

การเรียนรู้ไม่มีคำว่า ‘สูญเปล่า’

“การที่เราเรียนจนจบหลักสูตรได้ถือเป็นการชนะใจตัวเองมาก ๆ ตอนแรกก็หวั่น ๆ ว่า เราจะไหวไหม แต่พอเรียนไปเรื่อย ๆ ก็เห็นว่าตัวเองก็เรียนรู้ไปกับน้อง ๆ ได้ เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจในตัวเองมาก

“ผมคิดว่าหลังจากนี้ก็ตั้งใจจะหางานในตำแหน่ง Project Manager ไปอีกสักระยะหนึ่ง ผมคิดว่าทักษะและประสบการณ์ของผมสามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้ ถ้าจะไม่ได้เอาไปใช้เลยก็คงเสียดาย แล้วหลังจากนั้นอาจจะเริ่มเบนเข็มไปทำอะไรบางอย่างของตัวเอง ในอนาคตผมอาจจะสอนการเขียนโค้ดดิ้งให้เด็ก ๆ ก็ได้

“สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาตลอดระยะเวลา 15 สัปดาห์นั้นเป็นประโยชน์มาก ๆ ถึงแม้ว่าผมอาจจะหางานไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าเป็นการเสียเวลาเลย ยังไงผมก็ใช้ความรู้ได้ ไปต่อยอดได้แน่นอน”

ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นเริ่มจากเชื่อมั่นว่า ‘เราทำได้’

“ผมอยากขอบคุณทีมผู้สอนที่ให้ความรู้ทั้งทางด้าน Technical Skills และ Soft Skills ขอบคุณทีมงานที่ช่วยเป็นกำลังใจมาตลอดบูทแคมป์ ทุกคนทำงานกันหนักและคอยช่วยเหลือในทุก ๆด้าน ทั้งทางด้านโปรแกรม และการอำนวยความสะดวกเรื่องการเตรียมตัวสมัครงานต่าง ๆ

“ขอบคุณเพื่อน ๆ ร่วมคลาส เพื่อน ๆ ร่วมโปรเจกต์ที่อยู่ด้วยกันมาตลอด 15 สัปดาห์ ทุกคนช่วยเหลือกัน แชร์กันในสิ่งที่ตัวเองแชร์ได้และมีความถนัด น้อง ๆ หลายคนพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เรา ผมรู้สึกประทับใจตรงจุดนี้มาก

“สุดท้ายก็ขอบคุณตัวเองที่สู้มาตลอด 15 สัปดาห์จนจบหลักสูตรได้ ได้พิสูจน์ว่าถึงแม้จะอายุเยอะก็เรียนได้ สามารถที่จะเรียนไปพร้อมกับน้อง ๆ ได้ โดยไม่มีช่องว่างในความแตกต่างระหว่างอายุ แค่อายุต่างกัน แต่เราก็เรียนรู้ได้ไม่ต่างกัน”

สนใจโครงการ 𝗝𝘂𝗻𝗶𝗼𝗿 𝗦𝗼𝗳𝘁𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗗𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗲𝗿 ดูรายละเอียดได้ที่ https://thailand.generation.org

สมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึง 19 มกราคม 2568 เวลา 23.59 น.

ช่วงเวลาบูทแคมป์ 3 กุมภาพันธ์ – 23 พฤษภาคม 2568

ภายใต้ความร่วมมือระหว่างเจเนเรชั่น ประเทศไทย และ สำนักเคเอ็กซ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำหรับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงกับเกณฑ์การได้รับทุนการศึกษา สามารถแจ้งขอรับทุนจากองค์กรเพื่อสังคมเจเนเรชั่น ประเทศไทย ผ่านระบบรับสมัคร

ทุนการศึกษาจำนวนจำกัด จากเจเนเรชั่น ประเทศไทย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Generation Thailand – เจเนเรชั่น ประเทศไทย 

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ